จากวารสาร Pie เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2025 แสดงให้เห็นว่า มีประเทศใหม่ๆที่ไม่ได้อยูในกลุ่ม Big Four คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย ที่มีนักศึกษาต่างชาตินิยมไปศึกษาต่อต่างประเทศมากขึ้น ประเทศใหม่ๆ 10 ประเทศ ได้แก่
ประเทศเยอมนี
มีการคาดการณ์กันว่า จะมีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 400,000 คนเข้าเรียนในประเทศเยอรมนีในภาคเรียนฤดูหนาวปี 2024/25 ชาวอินเดียกลายเป็นกลุ่มนักศึกษาต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี โดยมีนักศึกษาอินเดีย เกือบ 50,000 คน รองลงมาคือนักศึกษาจีน ที่ 40,000 คน แม้จะมีการเติบโตของนักศึกษาต่างชาติ แต่นักศึกษาต่างชาติก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคในเรื่องวีซ่า การหาที่พัก ค่าครองชีพ รวมถึงปัญหาอื่นๆอีกด้วย
ประเทศฝรั่งเศส
ในปีการศึกษา 2023/24 มีนักศึกษาต่างชาติลงทะเบียนเรียนในสถาบันอุดมศึกษาของฝรั่งเศสมากกว่า 430,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีก่อน ตามข้อมูลของ Campus France ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้ตั้งเป้าหมายที่จะดึงดูดนักศึกษาชาวอินเดีย ให้ได้ 30,000 คนภายในปี ค.ศ.2030 https://timesofindia.indiatimes.com/india/30000-indian-students-in-france-in-2030-president-emmanuel-macron-sets-ambitious-target/articleshow/107168446.cms
เหตุผลทำไมฝรั่งเศสจึงต้องการเพิ่มจำนวนนักศึกษาอินเดียในประเทศฝรั่งเศส ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียและฝรั่งเศสพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญบางคนเรียกฝรั่งเศสว่า “เพื่อนใหม่ที่ดีที่สุด” ของอินเดีย เนื่องจากทั้งสองประเทศได้สร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ในด้านการป้องกันประเทศ พลังงานนิวเคลียร์ และอวกาศแล้ว การศึกษาจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการทูตที่สำคัญ จากวารสาร Pie วันที่ 29 เดือนตุลาคม ค.ศ.2024 (https://thepienews.com/france-expects-to-house-10k-indian-students-this-year/) ฝรั่งเศสมีมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมหลายแห่งและมีหลักสูตรหลากหลายที่มีราคาถูกกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรมาก นอกจากนี้หลักสูตรมากกว่า 1,700 หลักสูตรในฝรั่งเศสทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทก็พยายามให้มีหลักสูตรที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่นักศึกษาอินเดีย ฝรั่งเศสยังจัดให้มีทัวร์ Choose France จัดโดย Campus France (https://www.inde.campusfrance.org/choose-france-tour) เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาอินเดียได้มีโอกาสพบกับตัวแทนสถาบันต่างๆในฝรั่งเศสเพื่อพบปะพูดคุยเกี่ยวกับการเรียนและการใช้ชีวิตในฝรั่งเศสว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ โครงการ Classes Internationales ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน ค.ศ.2024 (https://classesinternationales.org/) เป็นโครงการริเริ่มที่มุ่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านภาษาและโอกาสในการจ้างงานในหมู่นักศึกษาชาวอินเดียที่มุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส นักศึกษาจะได้เรียนภาษาฝรั่งเศสในหลักสูตรปูพื้นฐานที่ประเทศฝรั่งเศส โดยมีหลักสูตรเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่สนใจ นักศึกษาบางคนอาจได้รับทุนการศึกษาเมื่อโครงการสิ้นสุดลง สถาบันชั้นนำในฝรั่งเศสและอินเดียได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ เช่น École Polytechnique ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ได้ลงนามในข้อตกลงกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดียสองแห่ง ได้แก่ IIT Bombay และ IIT Delhi เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาด้านการวิจัยไปด้วยกัน
ประเทศเกาหลีใต้
ด้วยอิทธิพลทางวัฒนธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ตามข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวเกาหลี ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 205,000 คนที่กำลังศึกษาอยู่ในเกาหลีใต้ โดยเกาหลีใต้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักศึกษาต่างชาติให้เป็น 300,000 คนภายในปีค.ศ. 2027 เวียดนาม จีน และอุซเบกิสถาน เป็นตลาด 3 อันดับแรกของเกาหลีสำหรับนักศึกษาต่างชาติ มี นักศึกษาจีน คิดเป็น 40% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในเกาหลีใต้ ในขณะที่นักศึกษาเวียดนาม คิดเป็น 23% จำนวนนักศึกษาต่างชาติจากประเทศสหรัฐอเมริกายังเพิ่มขึ้น 8 เท่าตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2000 โดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 834 คนในปีการศึกษา 2002/03 เป็น 5,909 คนในปีการศึกษา 2022/23
จำนวนนักศึกษาอเมริกันที่ศึกษาในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากความนิยมในวัฒนธรรมป๊อปเกาหลีและโปรแกรมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีเหตุผลสำคัญที่นักศึกษาอเมริกันเลือกเกาหลีใต้ นั่นก็คือความเป็นเลิศทางวิชาการ เกาหลีใต้มีมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกหลายแห่ง โดยมีโปรแกรมที่แข็งแกร่งในสาขา STEM และเน้นการวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้นๆของโลก ได้แก่ Seoul National University(SNU) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Harvard of South Korea SNU เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านความเป็นเลิศในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะด้านการแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักถูกมองว่ามีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษในด้านกฎหมายและธุรกิจด้วย , Korea University นิตยสาร US News and World Report ของสหรัฐอเมริกาให้ Korea University ติดอันดับที่ 58 ของโลกด้าน Artificial Intelligence ติดอันดับที่ 45ทางด้าน Biotechnology and Applied Microbiology ติดอันดับที่ 77 ด้าน Engineering ( https://www.usnews.com/education/best-global-universities/korea-university-505391) และ Yonsei University ที่มีชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศในสาขาวิชาต่างๆ มากมาย เช่น ธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการแพทย์ ทั้งสามมหาวิทยาลัยที่กล่าวมามีคำย่อเรียกกันว่า SKY
นอกจากเกากลีใต้จะมีมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการและเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมแล้ว เกาหลีใต้ยังมีค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกหลายๆประเทศ ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำกว่า เกาหลีใต้จัดเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากและมีอัตราการก่ออาชญากรรมต่ำ ทำให้เป็นประเทศที่น่าดึงดูดให้นักศึกษาต่างชาติเลือกไปศึกษาต่อ เกาหลีใต้ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติได้ด้รับทุนการศึกษา และเกาหลีใต้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและโปรแกรมการวิจัยอันล้ำสมัย ดังนั้นจำนวนนักศึกษาต่างชาติจึงเพิ่มขึ้นถึงขั้นที่ต้องการทำงานในประเทศหลังจากศึกษาจบ โดยผลสำรวจของหลายสำนัก บ้างก็เผยให้เห็นว่า มีนักศึกษาต่างชาติ 4 ใน 10 คนวางแผนที่จะอยู่ต่อและหางานทำ บ้างก็บอกว่า มีนักศึกษาต่างชาติ 8 ใน 10 คนวางแผนที่จะอยู่ต่อและหางานทำ https://m.koreaherald.com/article/3493015
ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติ 280,000 คนในญี่ปุ่น แต่เป้าหมายสำหรับปี 2033 คือ 400,000 คน แม้ว่าจีนจะเป็นตลาดที่มาของนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่ผู้ส่งรายใหญ่รายอื่นๆก็คือเนปาล เวียดนาม เกาหลีใต้ และเมียนมาร์ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในญี่ปุ่นกำลังวางกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักศึกษาต่างชาติให้มากขึ้น มหาวิทยาลัยโตเกียวเพิ่งประกาศเมื่อไม่นานนี้ว่าหลักสูตรปริญญาตรีและปริญญาโท 5 ปีแบบใหม่จะมีนักศึกษาต่างชาติ 50% โดยมีหลักสูตรที่สอนทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าญี่ปุ่นตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนนักศึกษาเพื่อชดเชยประชากรสูงอายุในปัจจุบัน ซึ่งทำให้การขอวีซ่าเป็นเรื่องง่ายขึ้น https://english.kyodonews.net/news/2024/02/7820d4d2c38e-univ-of-tokyo-to-launch-new-5-yr-program-with-50-foreign-students.html
ประเทศจีน
ในปี 2021 ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการของจีนรายงานว่ามีนักศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งหมด 35 ล้านคนและนักศึกษาระดับปริญญาโท 3.3 ล้านคนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ 255,720 คนเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เรียนเต็มเวลา ซึ่งคิดเป็นเพียง 1% ของจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนทั้งหมดทั่วประเทศ ประเทศจีนจึงเป็นที่รู้จักในฐานะตลาดแหล่งนักศึกษาต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากอีกด้วย
ประเทศนิวซีแลนด์
การศึกษาระหว่างประเทศของประเทศนิวซีแลนด์กำลัง “ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง” โดยเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแซงหน้าจำนวนนักศึกษาในปี 2023 ถึง 6% ตามข้อมูลที่รัฐบาลนิวซีแลนด์เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม การวิเคราะห์ใหม่ได้คาดการณ์ว่านิวซีแลนด์จะฟื้นตัวเต็มที่หลังโควิดในด้านจำนวนนักศึกษาต่างชาติภายในปี 2025 นิวซีแลนด์มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเป็น 4.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 โดยส่วนใหญ่จะเป็นการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น
แม้ว่าจีนและอินเดีย จะยังคงเป็นแหล่งนักศึกษานานาชาติที่ใหญ่ที่สุด แต่ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ไทย เยอรมนี ศรีลังกา และฟิลิปปินส์ ก็มีส่วนสนับสนุนจำนวนนักศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันแต่ละประเทศคิดเป็น 3% ของจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนนานาชาติทั้งหมด https://thepienews.com/new-zealands-international-education-sector-booms/
ประเทศมาเลเซีย
ตามข้อมูลของ Education Malaysia พบว่ามีนักศึกษาต่างชาติจากเอเชียตะวันออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยนักศึกษาจีน เป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าเป้าหมายเบื้องต้นในการเข้าถึงนักศึกษาต่างชาติ 200,000 คนภายในปี 2020 จะหยุดชะงักลงเนื่องจากการระบาดใหญ่ แต่ปัจจุบันประเทศมีเป้าหมายที่จะทำให้ถึงเป้าหมาย 250,000 คนภายในปีค.ศ.2025 นอกจากนี้ มาเลเซียยังเปิดตัวตัวเลือกวีซ่าใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยอนุญาตให้พวกเขาและผู้ติดตามอยู่ต่อในประเทศได้นานถึง 1 ปีเพื่อศึกษาต่อ เดินทาง หรือทำงานนอกเวลา https://www.malaymail.com/news/malaysia/2023/11/27/home-minister-grads-from-23-countries-to-get-one-year-pass-to-study-travel-and-work-part-time-in-malaysia/104486
ประเทศไอร์แลนด์
ในแผน Global Citizens 2030, International Talent and Innovation Strategy ฉบับใหม่ ไอร์แลนด์ได้ส่งเสริมแผนที่จะเพิ่มจำนวนนักศึกษาและนักวิจัยจากต่างประเทศในประเทศขึ้นร้อยละ 10 ภายในปี 2030 ภายในปี 2030 รัฐบาลจะแต่งตั้งผู้ช่วยทูตด้าน Talent and Innovation จำนวน 6 คนประจำสถานทูตและสถานกงสุลไอร์แลนด์ในภูมิภาคสำคัญๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไอร์แลนด์มุ่งเป้าไปที่นักศึกษาจากเอเชียใต้และแอฟริกา แม้ว่าปัจจุบันไอร์แลนด์จะมีสัดส่วน นักศึกษาชาวอินเดีย สูงที่สุดในสหภาพยุโรป แต่มหาวิทยาลัยในไอร์แลนด์ก็ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนนักศึกษาจากประเทศในแอฟริกาเป็น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เป้าหมายคือการเพิ่มความหลากหลายและคุณภาพของนักศึกษาที่รับสมัครด้วย https://thepienews.com/ireland-to-double-number-of-african-students-in-five-years/ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเติบโต แต่นักศึกษาต่างชาติในไอร์แลนด์ได้เรียกร้องให้ปรับปรุงสิทธิและประสบการณ์ของตน เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นในด้านที่อยู่อาศัย การเหยียดเชื้อชาติ และการจ้างงาน
ประเทศตุรกี
ในปีการศึกษา 2022/23 มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 300,000 คนที่ลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยของตุรกี ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่คณะกรรมการความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของตุรกีกำหนดไว้ในปี2021 ตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่า จำนวนนักศึกษาต่างชาติในตุรกีในปีการศึกษา 2013/14 เพิ่มขึ้นเป็น 48,183 คน
ในปีการศึกษา 2022/23 มี 34 ประเทศที่ส่งนักศึกษาไปเรียนที่ตุรกีมากกว่า 1,000 คน โดยมีประเทศชั้นนำที่นิยมส่งนักศึกษาไปศึกษาต่อที่ตุรกีมากเรียงลำดับ ดังนี้คือ ซีเรีย 58,213 คน อาเซอร์ไบจาน 34,247 คน อิหร่าน 22,632 คน เติร์กเมนิสถาน 18,250 คน และ อิรัก 16,172 คน ประมาณการกันว่ามีนักศึกษาชาวแอฟริกัน 40,000 คนจาก 54 ประเทศที่กำลังศึกษาอยู่ในตุรกี โดย 1 ใน 3 เป็นผู้หญิง และ 20% ลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรบัณฑิตศึกษา (Postgraduate programs การที่ตุรกีได้รับความสนใจในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาที่กำลังเติบโต ทำให้ประธานาธิบดีเออร์โดกันเองก็ชื่นชมการสนับสนุนทางเศรษฐกิจที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
ประเทศอิตาลี
อิตาลีเป็นจุดหมายปลายทางการศึกษาที่สำคัญอีกแห่งในสหภาพยุโรป โดยประเทศนี้ยังเป็นตลาดสำคัญสำหรับนักศึกษาจากสหรัฐอเมริกาที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศอีกด้วย ในปีการศึกษา 2022/23 อิตาลีกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักศึกษาจากสหรัฐอเมริกา โดยดึงดูดนักศึกษาที่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศได้ 15% ซึ่งเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดล่าสุดที่กำหนดให้ผู้สมัครวีซ่าประเภท D ซึ่งรวมถึงนักศึกษาในโครงการที่มีระยะเวลานานกว่า 90 วัน ต้องทำการนัดหมายที่สถานกงสุลอิตาลีเพื่อทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ ได้ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความต้องการด้านการบริหารงานที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับสถานกงสุลและนักศึกษาที่คาดว่าจะไปศึกษาต่อ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า นโยบายดังกล่าวอาจทำให้นักศึกษาเลือกจุดหมายปลายทางเป็นประเทศอื่น และอาจทำให้แนวโน้มปัจจุบันของนักศึกษาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการศึกษาต่อในต่างประเทศระยะสั้นมีความท้าทายมากขึ้น
Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved