คำว่า หมอโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ มีชื่อเรียกหลายอย่าง หลายคนคงสงสัยว่า ต่างกันอย่างไร และเวลาป่วยควรไปหาแพทย์โรคกระดูกและกล้ามเนื้อคนไหน
Chiropractors หรือแพทย์โรคกระดูกสันหลังต้องมีวุฒิการศึกษา Doctor of Chiropractic-DC เบื้องต้นไคโรแพรกเตอร์ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากนั้นเรียนต่อหลักสูตร Doctor of Chiropractic (DC) อีกประมาณ 5-6 ปี ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมด้านไคโรแพรกติก แพทย์โรคกระดูกสันหลัง DC มักใช้มือออกแรงควบคุมข้อต่ออย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ลดอาการปวดและการอักเสบ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดศีรษะ ไคโรแพรกเตอร์จะประเมินร่างกายของผู้ป่วยเพื่อระบุสาเหตุเบื้องหลังของปัญหาสุขภาพ โดยใช้แนวทางที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เพื่อให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น เน้นการปรับกระดูกเพื่อแก้ไขการจัดตำแหน่งข้อต่อที่ผิดปกติ การยืดเหยียด และการออกกำลังกาย การลดแรงกดทับเส้นประสาทเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเส้นประสาท พูดง่ายๆ ไคโรแพรกเตอร์เน้นการเยียวยาด้วยธรรมชาติ และมักไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือใช้ยาตามใบสั่งแพทย์อ่านเพิ่มเติม เรียน Chiropractic ศาสตร์จัดกระดูกที่อเมริกา
Othopedist แพทย์โรคกระดูกและข้อ ออร์โธปิดิสต์ ต้องเรียนจบปริญญาตรี 4 ปี เรียนต่อแพทย์ในโรงเรียนแพทย์ (Medical School) อีก 4 ปี และเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้ออีก 5 ปี แพทย์กระดูกและข้อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกในบุคคลทุกวัย ทั้งทางการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกประกอบด้วยกระดูก ข้อต่อ เอ็น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท แพทย์กระดูกและข้ออาจแนะนำการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การฟื้นฟูหรือการใช้ยา ก่อนที่จะพิจารณาการผ่าตัด นอกจากนี้ยังอาจทำการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมอาการบาดเจ็บหรือแก้ไขภาวะหากจำเป็น ในแต่ละปี เหตุผลที่พบบ่อยที่สุดที่ผู้คนไปพบแพทย์คืออาการปวดกล้ามเนื้อและโครงกระดูกออร์โธปิดิกส์
แพทย์กระดูกและข้อ ออร์โธปิดิกส์จะใช้เครื่องมือวินิจฉัย เช่น เอกซเรย์ MRI CT scan และการวัดความหนาแน่นของกระดูก รักษาที่อาการมากกว่ารักษาที่สาเหตุของความเจ็บปวด ออร์โธปิดิกส์มีเครื่องมือในการวินิจฉัยโรคและใช้เทคนิคการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปวดและอาการป่วย ออร์โธปิดิกส์ยังสามารถเอ็กซเรย์และตีความเอกซเรย์ได้ สามารถสั่งยาได้
อนึ่ง มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างออร์โธปิดิกส์ (Orthopedist) และศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ (Orthopedic Surgeon) คือ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedic Sugeon) สามารถทำการผ่าตัดได้ ในขณะที่ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) มักจะไม่ทำการผ่าตัด โดยทั่วไป ออร์โธปิดิกส์ จะทำหน้าที่วินิจฉัยและรักษาปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกโดยใช้หลากหลายวิธี เช่น การใส่เฝือกแบบ braces การใส่เฝือกแบบ casts การใส่เฝือกแบบ splints และการรีเซ็ตกระดูก ศัลยแพทย์กระดูกและข้อยังสามารถให้การดูแลก่อนและหลังการผ่าตัด และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดได้
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedic Surgeon) จะทำหน้าที่วินิจฉัย รักษา และทำการผ่าตัดปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก ศัลยแพทย์กระดูกและข้อสามารถทำการผ่าตัดได้หลากหลายวิธี เช่น การส่องกล้อง การเปลี่ยนข้อ การยึดกระดูก และการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออ่อน ดังนั้น ศัลยแพทยฺกระดูกและข้อ (Orthopedic surgeon) จะมีความเชี่ยวชาญมากกว่าศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) และมักจะได้รับการปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดที่ซับซ้อนหรือเฉพาะเจาะจงมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้ออาจแนะนำผู้ป่วยให้ไปพบศัลยแพทย์กระดูกและข้อ(Orthopedic Surgeon) หากพบปัญหาที่ต้องใช้วิธีการเฉพาะทางมากกว่า ทั้งแพทย์กระดูก (Orthopedist) และศัลยแพทย์กระดูก (Orthopedic Surgeon) ต่างก็ทำงานในโรงพยาบาลหรือในคลินิกส่วนตัว ทั้งคู่ต่างศึกษาเกี่ยวกับระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างกว้างขวาง และทั้งคู่สามารถวินิจฉัย รักษา ป้องกัน และฟื้นฟูได้
Osteopathic doctors (DO) แพทย์ออสเทโอพาธี (DO) อักษรย่อ DO (ย่อมาจาก Doctor of Osteopathy) แพทย์ออสเทโอพาธีต้องเรียนจบได้ปริญญาเอ็มดี (M.D. หรือพ.บ.หรือแพทย์ศาสตร์บัณฑิต) หรือผ่านการเรียนการฝึกทำนองเดียวกับแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไป การเรียนแพทย์แผนออสทีโอพาธีต้องเรียนตามหลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี เป็นแพทย์ฝึกหัด 1 ปี จากนั้นจึงเข้าเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์ออสเทโอพาธี (Osteopathic Medical School) อีก 2-6 ปี ในปัจจุบัน สถาบันแพทย์ศาสตร์แนวออสทีโอพาธีที่ตั้งอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกามีอยู่ทั้งหมด 37 แห่ง ( https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_osteopathic_colleges) มีแพทย์แผนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีองค์การที่เป็นตัวแทนอยู่ 2 องค์การ คือ American Osteopathic Association ( https://osteopathic.org/) และ American Academy of Osteopath ( https://www.academyofosteopathy.org/)
หลักสูตรปริญญา ปรัชญา การแพทย์ออสเทโอพาธีใช้แนวทางแบบองค์รวม โดยพิจารณาทั้งร่างกายมากกว่าบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ แพทย์โรคกระดูกสันหลัง DO จะลงมือปฏิบัติจริงมากกว่า โดยใช้วิธียืดและนวดเพื่อจัดการเนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ และกระดูก คล้ายกับไคโรแพรกเตอร์ จะต่างกันที่ วุฒิการศึกษา วุฒิการศึกษาของออสเทโอพาธีเป็นวุฒิการศึกษาทางการแพทย์ (MD) จึงมีสิทธิทางการแพทย์เช่นเดียวกับแพทย์ทั่วไป รวมถึงมีสิทธิในการสั่งยาได้ ส่วนไคโรแพรกเตอร์ มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขากายภาพบำบัด (Doctor of Chiropractic) และไม่สามารถเขียนใบสั่งยาได้ อีกประการวิธีการรักษาก็ต่างกัน ไคโรแพรกเตอร์มักจะใช้การปรับกระดูกเพื่อแก้ไขข้อต่อที่ผิดปกติ และรักษาเช่นอาการปวดหลังคอร์สหนึ่ง ประมาณ 6 ครั้ง ในขณะที่แพทย์ออสเทโอพาธีมักจะเน้นที่การจัดกระดูกอ่อนด้วยการยืดและนวดมากกว่าและการรักษาตามความจำเป็น นอกจากนี้ แพทย์ออสเทโอพาธีสามารถเอ็กซ์เรย์และตีความเอ็กซ์เรย์ได้ ในขณะที่ไคโรแพรกติกมักจะต้องอาศัยศูนย์การแพทย์หรือศูนย์ตรวจภาพเพื่อสแกนกระดูก
คำว่า “ออสทีโอพาธี” (Osteopathy) มาจากรากศัพท์ในภาษากรีกว่า ออสทีออน (osteon) ที่แปลว่า “กระดูก” และพาธอส (pathos) ซึ่งแปลว่า “ความรู้สึก” ในปี ค.ศ.1874 นายแพทย์แอนดรูว์ เทย์เลอร์ สทิล (Andrew Taylor Still) ได้พัฒนาการแพทย์แผนออสทีโอพาธีขึ้นมา นายแพทย์แอนดรูว์เกิดในปี ค.ศ.1828 ที่รัฐเวอร์จิเนีย มารดาเป็นชาวสก็อตและบิดาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เยอร์มัน ในช่วงสงครามกลางเมืองเขาได้ทำงานเป็นศัลยแพทย์อยู่ในกองทัพของฝ่ายยูเนียน นายแพทย์สทิลได้ทำงานเป็นหมอดัดกระดูกหรือคนจัดกระดูก (bone setter) มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในปี ค.ศ.1887 ก็ได้เปิดคลินิกขึ้นเป็นการเฉพาะที่เคิร์คสวิล (Kirksvill) รัฐมิสซูรี เขาได้เริ่มสอนศิลปะนี้ให้ลูกชายของเขาทั้ง 4 คน และได้ก่อตั้งสถาบันออสทีโอพาธีของอเมริกันขึ้นมาในปี ค.ศ.1892 ( https://www.academyofosteopathy.org/)
แพทย์แผนออสทีโอพาธี จะรักษาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และรักษาทั้งตัวคน ไม่ใช่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเฉพาะอาการใดอาการหนึ่ง โดยจะพิจารณาเลยไปถึงภาวะทางอารมณ์ ความคิด จิตใจของคนไข้ รวมทั้งระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกที่สะท้อนและส่งอิทธิพลถึงภาวะของอวัยวะและระบบอื่นๆ ทั้งหมดของร่างกาย และยังมีวิธีในการวินิจฉัยและรักษาโรคบางอย่างที่เกี่ยวกับกระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น เนื้อเยื่อและข้อกระดูกสันหลัง ด้วยการใช้กายภาพบำบัด การนวด และการลูบคลำเบาๆ การนวดตามแบบแผนของออสทีโอพาธิคมี 2 แบบ คือ การบำบัดด้วยการนวดให้ตึงและต่อต้านความตึง (Strain-Counterstrain Therapy) ได้รับการพัฒนาโดยแพทย์กระดูก (OsteopaticPhysician) Lawrence Jones มานานกว่า 40 ปี การบำบัดด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น อาการบาดเจ็บจากกีฬา โรคข้ออักเสบ อาการปวดหัว และอาการปวดคอหรือหลัง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับทุกวัยและอาการเจ็บปวดส่วนใหญ่ กับ การนวดกะโหลกศีรษะ หรือ Cranio Sacral Therapy วิธีนี้อาจช่วยบรรเทาอาการบางอย่างได้ เช่น อาการปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดหลัง มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่ำ การนวดกะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลัง (Cranio Scacral Therapy-CST) บางครั้งเรียกอีกอย่างว่า Craniosacral Therapy
Copyright © 2010-2024 GoVisa All rights reserved