การศึกษาด้านการจัดการกับภัยพิบัติหรือวิกฤตในมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980 โดยมีสาเหตุมาจากการเกิดภัยพิบัติทางอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในโลก ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1979 มีอุบัติเหตุThree Mile Island ที่เกิดจากการหลอมละลายของนิวเคลียร์บางส่วนใกล้กับเมือง Harrisburg รัฐ Pennsylvania ตามมาด้วยวาล์วระบายแรงดันเกิดติดขัดในระบบหลัก ทำให้สารหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์รั่วไหลออกมาจำนวนมาก ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1980 แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท Texaco ได้เจาะลงไปในเหมืองเกลือ ทำให้ Lake Peigneur ในรัฐ Louisiana ซึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อนกลายเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม หรือมีเหตุการณ์ใหญ่ของโลกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1986 ที่เกิดภัยพิบัติ Chernobyl ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl ในเมือง Pripyat สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือประเทศยูเครน) มีการทดสอบเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 และเกิดการควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลอมละลาย การระเบิดของไอน้ำและกัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นตามมาคร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 50 ราย โดยคาดว่าอาจมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นระหว่าง 4,000 ถึงหลายแสนรายในช่วงเวลาหนึ่ง เขตห้ามเข้า Chernobyl ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเบลารุสและยูเครนที่อยู่รอบๆ Pripyat ยังคงปนเปื้อนและไม่มีผู้อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ คนในเมือง Pripyat เองถูกอพยพออกไปทั้งหมดและกลายเป็นเมืองร้าง แม้ว่าจะมีสัตว์ป่าชุกชุมอยู่ก็ตาม ดังนั้น มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาจึงได้พัฒนาสาขาวิชา Crisis Management จนได้รับการยอมรับ และมีการฝึกอบรมและมีโปรแกรมการศึกษาต่างๆ มากมายตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก หลักสูตรจะเน้นที่การเตรียมพร้อม การตอบสนอง และการฟื้นฟูจากเหตุฉุกเฉิน โดยบางหลักสูตรยังเน้นที่สาขาเฉพาะ เช่น นโยบายสาธารณะหรือความมั่นคงภายในประเทศด้วย
ในช่วงแรก การจัดการวิกฤตมักถูกมองว่าเป็นส่วนย่อยของศาสตร์การประชาสัมพันธ์ โดยเน้นที่การจัดการการสื่อสารและการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับวิกฤต ต่อมาสาขาดังกล่าวได้ขยายออกไปเกินขอบเขตของวิชาการประชาสัมพันธ์ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ รวมถึงการจัดการธุรกิจ กฎหมาย วิศวกรรม และการจัดการเหตุฉุกเฉิน มหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มพัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมเฉพาะด้านการจัดการวิกฤต โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันวิกฤต การเตรียมพร้อม การตอบสนอง และการฟื้นตัว หลักสูตรการจัดการวิกฤตในปัจจุบันมักเน้นที่แนวทางสหสาขาวิชา โดยตระหนักว่าวิกฤตสามารถเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆได้หลากหลายสาขาวิชา และต้องใช้ความเชี่ยวชาญจากหลายสาขา นอกเหนือจากโปรแกรมทางวิชาการแล้ว องค์กรต่างๆ จำนวนมากยังเสนอโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองการจัดการวิกฤต
โดยทั่วไปหลักสูตรการจัดการวิกฤตมักจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ดังนี้
- การระบุและป้องกันวิกฤต การระบุสถานการณ์วิกฤตที่อาจเกิดขึ้นและการนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
- การวางแผนและการเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤต การพัฒนาแผนการจัดการวิกฤตที่ครอบคลุมและการเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
- การสื่อสารในวิกฤต การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในช่วงวิกฤต
- การตอบสนองต่อวิกฤต การนำแผนตอบสนองต่อวิกฤตไปปฏิบัติและการจัดการทันทีหลังจากเกิดวิกฤ
- การฟื้นตัวจากวิกฤต การพัฒนากลยุทธ์สำหรับการฟื้นตัวจากวิกฤตและการฟื้นฟูชื่อเสียงขององค์กร
ศาสตราจารย์กิตติคุณ Otto Lerbinger จาก Boston University ได้แบ่งประเภทของวิกฤตออกเป็น 8 ประเภทคือ
- ภัยธรรมชาติ (Natural disaster) ปรากฏการณ์ทางสิ่งแวดล้อม เช่น แผ่นดินไหว การระเบิดของภูเขาไฟ พายุทอร์นาโดและพายุเฮอริเคน น้ำท่วม ดินถล่ม สึนามิ พายุ และภัยแล้ง ซึ่งคุกคามชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม
- วิกฤตทางเทคโนโลยี (Technological crisis) อุบัติเหตุทางเทคโนโลยีมักเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน และมีบางอย่างผิดพลาดในระบบโดยรวม วิกฤตทางเทคโนโลยีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อข้อผิดพลาดของมนุษย์ทำให้เกิดการหยุดชะงัก
- การเผชิญหน้า (Confrontation) วิกฤตการเผชิญหน้าเกิดขึ้นเมื่อบุคคลและ/หรือกลุ่มที่ไม่พอใจต่อสู้กับธุรกิจ รัฐบาล และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับในข้อเรียกร้องและความคาดหวังของพวกเขา วิกฤตการเผชิญหน้าประเภททั่วไปคือการคว่ำบาตร และประเภทอื่นๆ ได้แก่ การเดินขบวนประท้วง การนั่งประท้วง การยื่นคำขาดต่อผู้มีอำนาจ การปิดกั้นหรือยึดครองอาคาร และการต่อต้านหรือไม่เชื่อฟังตำรวจ
- ความอาฆาตพยาบาท (Malevolence)องค์กรจะเผชิญกับวิกฤตแห่งความอาฆาตแค้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามหรือผู้กระทำความผิดใช้วิธีการทางอาญาหรือกลวิธีสุดโต่งอื่นๆ เพื่อแสดงความเกลียดชังหรือโกรธแค้นต่อหรือแสวงหาผลประโยชน์จากบริษัท ประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจ โดยอาจมีจุดประสงค์เพื่อทำลายหรือทำลายองค์กร ตัวอย่างวิกฤตได้แก่ การดัดแปลงผลิตภัณฑ์ การลักพาตัว ข่าวลือที่เป็นอันตราย การก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการจารกรรม
- วิกฤตการณ์จากการกระทำผิดขององค์กร (Organizational Misdeeds) วิกฤตการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายบริหารดำเนินการที่ทราบว่าจะสร้างความเสียหายหรือทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสี่ยงต่ออันตรายโดยไม่ได้มีการป้องกันอย่างเหมาะสม วิกฤตการณ์จากการกระทำผิดขององค์กรมี 3 ประเภทคือ
- วิกฤตการณ์จากค่านิยมการจัดการที่เบี่ยงเบน เกิดขึ้นเมื่อผู้นำให้ความสำคัญกับผลกำไรทางการเงินในระยะสั้นในขณะที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคมที่กว้างขึ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญนอกเหนือไปจากนักลงทุน ความไม่สมดุลนี้มักเกิดจากแนวคิดทางธุรกิจแบบเดิมที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยไม่คำนึงถึงลูกค้า พนักงาน และชุมชน
- วิกฤตการณ์จากการหลอกลวง เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายบริหารปกปิดหรือนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องในการติดต่อกับผู้บริโภคและผู้อื่น
- วิกฤตการณ์จากความประพฤติมิชอบของฝ่ายบริหาร วิกฤตการณ์บางอย่างไม่ได้เกิดจากค่านิยมที่เบี่ยงเบนและการหลอกลวงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากศีลธรรมที่จงใจและการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
- ความรุนแรงในสถานที่ทำงาน (Workplace Violence) เกิดขึ้นเมื่อพนักงานหรืออดีตพนักงานใช้ความรุนแรงต่อพนักงานคนอื่นโดยอ้างเหตุผลขององค์กร
- ข่าวลือ (Rumours) ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับองค์กรหรือผลิตภัณฑ์สร้างวิกฤตที่ทำลายชื่อเสียงขององค์กร
- การโจมตีของผู้ก่อการร้าย/ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น (Terrorist attacks/man-made disasters) เกิดขึ้นเมื่อวิกฤตเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น วิกฤตทางการเงินระดับโลก อุบัติเหตุทางการขนส่ง
มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อเรียกหลักสูตรว่า Crisis management”การจัดการวิกฤต” บ้างDisaster Management “การจัดการภัยพิบัติ” บ้างและ/หรือ Emergency Management “การจัดการฉุกเฉิน”ทั้งสามคำนี้ใช้แทนกันได้ โดย Emergency Management จะเป็นคำที่กว้างที่สุดที่สามารถครอบคลุมทั้ง Disaster Management ( Disaster จะเป็นเริ่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก) และ Crisis Management ( Crisis คือเน้นที่การตอบสนองทันทีต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด)
นอกจากนี้หลักสูตร Emergency Management ที่เปิดสอนอยู่ภายใต้คณะที่แตกต่างกันก็จะมีขอบเขตการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยเน้นที่ด้านหรือพื้นที่เฉพาะของความเชี่ยวชาญภายในสาขานั้นๆ เหตุผลที่ต้องมีขอบเขตที่ต่างกันศึกษาได้จาก
- จุดเน้นของหลักสูตร บางหลักสูตรเน้นความเชี่ยวชาญในด้านภัยธรรมชาติ บางหลักสูตรเน้นที่การก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เป็นต้น
- ความสนใจในงานวิจัย ความเชี่ยวชาญของคณาจารย์ผู้สอนและงานวิจัยของคณะที่เปิดสอนมีอิทธิพลต่อการกำหนดหลักสูตร
- เป้าหมายของกลุ่มผู้เข้าเรียน บางหลักสูตรรองรับผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานด้านการจัดการเหตุฉุกเฉินอยู่แล้ว ในขณะที่บางหลักสูตรออกแบบมาสำหรับนักศึกษาที่เพิ่งเข้าสู่สาขานี้
- บริบทระดับภูมิภาค บางหลักสูตรอาจเน้นที่อันตรายที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือไฟป่า
- แนวทางสหวิทยาการ บางหลักสูตรเน้นแนวทางสหวิทยาการที่กว้างขวาง โดยดึงเอาจากสาขาต่างๆ เช่น สาธารณสุข งานสังคมสงเคราะห์ และวิศวกรรมศาสตร์
- ทักษะเชิงปฏิบัติกับความรู้เชิงทฤษฎี บางหลักสูตรให้ความสำคัญกับการฝึกปฏิบัติจริงและการจำลองสถานการณ์ ในขณะที่บางหลักสูตรเน้นที่กรอบทฤษฎีและวิธีการวิจัย
ก่อนตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรวิชาการจัดการกับวิกฤตควรจะตรวจสอบว่า หลักสูตรของมหาวิทยาลัยเปิดสอนภายใต้คณะอะไร มีขอบเขตเนื้อหาตรงกับความตั้งใจของผู้ต้องการไปศึกษาต่อหรือไม่ หลักสูตรที่มีขอบเขตแตกต่างกันของแต่ละมหาวิทยาลัยจะเน้นการศึกษาในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ
- การจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว การตอบสนองต่ออุทกภัย การบรรเทาไฟป่า และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความมั่นคงภายในประเทศ หลักสูตรจะเน้นไปที่การป้องกันการก่อการร้าย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ความปลอดภัยชายแดน และการต่อต้านข่าวกรอง
- สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เนื้อหาจะครอบคลุมการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับโรคระบาด การตอบสนองต่อการระบาดของโรค และโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
- ความต่อเนื่องทางธุรกิจ หลักสูตรจะเน้นที่การพัฒนากลยุทธ์สำหรับองค์กรเพื่อรักษาการดำเนินงานระหว่างและหลังเหตุการณ์ฉุกเฉิน
- การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเน้นไปที่การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติในชุมชน การประเมินความเสี่ยง และการสร้างขีดความสามารถ
- บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) และการตอบสนองต่อภัยพิบัติ หลักสูตรเน้นที่การให้การดูแลทางการแพทย์และการสนับสนุนในระหว่างเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการค้นหาและกู้ภัย เหตุการณ์ผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
- ความเป็นผู้นำในการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน เน้นที่การพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการสื่อสาร การตัดสินใจ และการจัดสรรทรัพยากร
- การศึกษาในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลักสูตรนี้เน้นที่การทำให้แน่ใจว่าการศึกษาจะดำเนินต่อไปในระหว่างและหลังเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์สำหรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย การให้การสนับสนุนด้านจิตสังคม และการจัดการกับการสูญเสียการเรียนรู้
ขอนำเสนอตัวอย่างหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการวิกฤตที่เปิดสอนตามคณะต่างๆของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เช่น
ใน School of Business
Eastern Kentucky University: https://catalogs.eku.edu/graduate/business/business/online-mba-concentration-emergency-management-disaster-resilience/#programrequirementstext

ใน Department of Communication
Towson University: https://www.towson.edu/cofac/departments/mass-communication/communication-management/

ใน College of Engineering
Oklahoma State University: https://www.masterstudies.com/institutions/oklahoma-state-university-college-of-engineering-architecture-and-technology

ใน School of Law
Loyola University Chicago: https://www.luc.edu/law/academics/degreeprograms/llmdegrees/llmincomplianceenterpriseriskmanagement/

ใน College of Public Affairs & Policy
State University of New York, Albany: https://www.albany.edu/cehc/programs/ms-emergency-management-homeland-security#

ใน College of Public Health
University of Georgia : https://idm.publichealth.uga.edu/academics/graduate/master-of-public-health/

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved