การศึกษาระดับปริญญาเอก

การศึกษาระดับปริญญาเอกในแต่ละประเทศต่างก็มีเป้าหมายเหมือนกันคือ เป็นการพัฒนาทางปัญญาและการวิจัยขั้นสูงที่จะนำไปสู่การได้รับปริญญาเอก จุดต่างกันของการศึกษาในแต่ละประเทศคือโครงสร้างของหลักสูตร จุดเน้น และบริบททางวัฒนธรรม

ในประเด็นความคล้ายคลึงกันของการศึกษาระดับนี้คือ

  • เน้นการทำวิจัย (Research Focus) หลักสูตรปริญญาเอกทั้งหมดจะให้ความสำคัญกับการวิจัยเดิม โดยนำความรู้ใหม่มาสู่สาขาเฉพาะนั้น
  • เน้นที่จะปลูกฝังความรู้เชิงลึก ทักษะการวิเคราะห์ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์
  • มีการสอบวัดคุณสมบัติเพื่อประเมินความพร้อมของนักศึกษาสำหรับการวิจัยระดับปริญญาเอก
  • หลักสูตรปริญญาเอกทั้งหมดกำหนดให้มีการทำวิทยานิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาสำคัญโดยอิงจากการวิจัยเดิม
  • นักศึกษาจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ดูแลหรือที่ปรึกษา(Supervisor) ซึ่งจะให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะตลอดการศึกษา
  • โดยทั่วไปแล้ว นักศึกษาปริญญาเอกจะต้องเผยแพร่ผลการวิจัยของตนในวารสารทางวิชาการและนำเสนอผลงานของตนในการประชุม หรือกิจกรรมการพัฒนาอาชีพ

ส่วนประเด็นความแตกต่างกันเรื่องการศึกษาระดับปริญญาเอกในแต่ละประเทศ

  • ระยะเวลาของหลักสูตร เช่น ในยุโรปและออสเตรเลีย มักใช้เวลา 3-4 ปี ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา อาจใช้เวลานานกว่านั้นคืออย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป อาจเป็นเพราะสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับการเรียน coursework ที่กำหนดไว้ให้ครบด้วย
  • สาขาการวิจัยและวิธีการเฉพาะที่มหาวิทยาลัยนิยมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยทั่วโลกใช้รูปแบบการสอนและการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การบรรยายไปจนถึงแนวทางการทำงานร่วมกันและการค้นคว้าเพิ่มเติม
  • บางประเทศมีเงินช่วยเหลือหรือสนับสนุนในการทำวิจัยที่มาก ในขณะที่บางประเทศนักศึกษาต้องพึ่งพาเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือทุนการศึกษาเพื่อทำวิจัย
  • บางประเทศมีประเพณีการวิจัยทางวิชาการที่แข็งแกร่งกว่า ในขณะที่บางประเทศเน้นที่งานวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและการวิจัยประยุกต์

แต่ละประเทศจะเสนอปริญญาเอกหลากหลายประเภท โดยมักแบ่งตามการวิจัยหรือวิชาชีพ มีชื่อและจุดเน้นที่แตกต่างกัน ปริญญาเอก(PhD) จะเป็นปริญญาเอกสาขาการวิจัยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุด โดยทั่วไปประเทศต่างๆจะนำเสนอหลักสูตรปริญญาเอก 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. ปริญญาเอกด้านการวิจัย (Research Doctorates) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาชีพในแวดวงวิชาการและการวิจัย เช่น PhD (Doctor of Philosophy)ด้านมนุษยศาสตร์ หรือด้านสังคมศาสตร์ หรือสาขาวิชาอื่นๆ
  2. ปริญญาเอกสายวิชาชีพ (Professional Doctorates) เช่น DBA (Doctor of Business Administration) ถูกออกแบบมาสำหรับมืออาชีพในทางธุรกิจ โดยเน้นที่การวิจัยประยุกต์และการจัดการ หรือ PsyD (Doctor of Psychology) เป็นปริญญาเอกระดับมืออาชีพสำหรับนักจิตวิทยา มักเน้นที่การปฏิบัติ
  3. ปริญญาเอกประเภทอื่นๆ เช่น ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ (Honorary Doctorates) มอบให้เป็นเครื่องหมายแห่งการยอมรับ ไม่จำเป็นต้องเรียนหลักสูตรทางวิชาการแบบดั้งเดิม

ในสหราชอาณาจักรจะนำเสนอหลักสูตรปริญญาเอกที่มีลักษณะเฉพาะเพิ่มขึ้นมาอีก 4 ประเภทคือ

  • PhD by Practice พบเห็นได้ทั่วไปในสาขาวิชาศิลปะสร้างสรรค์และศิลปะการแสดง (the creative and performing arts) ซึ่งผลงานสร้างสรรค์ถือเป็นส่วนสำคัญของการวิจัย วิทยานิพนธ์อาจรวมถึงผลงานสร้างสรรค์เดิมที่สนับสนุนด้วยคำบรรยายและการวิจารณ์ที่วางไว้ภายในบริบททางวิชาการ เช่น DMus ที่University of Glasgow
  • PhD by Publication ช่วยให้บุคคลที่ได้ตีพิมพ์ผลงานสำคัญๆ ไปแล้วสามารถแสดงทักษะการวิจัยระดับปริญญาเอกได้โดยไม่จำเป็นต้องเขียนวิทยานิพนธ์อีก เหมาะสำหรับนักวิจัยที่ตีพิมพ์ผลงานแล้วแต่ยังไม่ได้รับปริญญาเอกแต่ต้องการการรับรองผลงานการวิจัยของตน
    • คุณสมบัติของผู้สมัครปริญญาเอกประเภทนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าจากสถาบันอุดมศึกษาในสหราชอาณาจักรหรือเทียบเท่าที่เป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ ผู้สมัครยังต้องมีผลงานตีพิมพ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นเอกสารทางวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ, book chapters หรือเอกสารเทียบเท่าอื่นๆ ในการส่งผลงาน ผลงานตีพิมพ์จะต้องส่งพร้อมกับคำอธิบายประกอบ (โดยทั่วไปมีความยาว 5,000-10,000 คำ) ที่ระบุความสอดคล้อง ความสำคัญ และการมีส่วนสนับสนุนของผลงานต่อองค์ความรู้ ส่วนการสอบจะทำตามขั้นตอนที่คล้ายกับการสอบปริญญาเอกตามมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงการสอบปกป้องผลงานวิจัยด้วยวาจา ระยะเวลาในการตีพิมพ์ผลงานปริญญาเอก โดยทั่วไปใช้ปริญญาเอกชนิดนี้จะใช้เวลาเรียนนอกเวลา 12 เดือน สำหรับค่าใช้จ่ายในการเรียนจะเท่ากับค่าธรรมเนียมปริญญาเอกมาตรฐานสำหรับการเรียน 1 ปี PHD by Publication จึงเหมาะสำหรับ ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การวิจัยและมีผลงานตีพิมพ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาที่เน้นการปฏิบัติ ยกตัวอบ่าง PHD by Publication University of Portsmouth: https://www.port.ac.uk/study/postgraduate-research/research-degrees/phd-by-publication
  • Integrated PhD เป็นการเรียนรวมปริญญาโทเข้ากับปริญญาเอก ซึ่งโดยปกติใช้เวลา 4 ปีจึงจะสำเร็จ หลักสูตรเหล่านี้มักมีโครงสร้างตามโครงการวิจัยที่สร้างขึ้นจากการวิจัยระดับปริญญาโทที่มีอยู่แล้ว สำหรับ Integrated PhD นี้ยังอาจพบได้ในอีกบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา
    • หลักสูตรปริญญาเอกแบบ 4 ปีนี้เรียกอีกอย่างว่า New Route PhD ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาปริญญาโทด้านการวิจัย (MRes) 1 ปีก่อนที่จะเรียนต่อปริญญาเอกแบบ 3 ปี หลักสูตรปริญญาเอกแบบบูรณาการนี้เปิดสอนโดยมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งในสหราชอาณาจักร โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและ British Council ผ่าน UK Research and Innovation (UKRI) หลักสูตรปริญญาเอกบูรณาการประกอบด้วยเนื้อหาที่สอน ประสบการณ์จริง และการวิจัยขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้ระเบียบวิธีเฉพาะวิชา พร้อมทั้งพัฒนาทักษะที่ถ่ายทอดได้ ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษากลายเป็นผู้นำในอาชีพที่เลือก สถาบันต่างๆ สามารถพัฒนาหลักสูตรปริญญาเอกบูรณาการแบบเฉพาะบุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาแต่ละคนได้ ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยอาจเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้รับประกาศนียบัตรบัณฑิตหลังปริญญา (PGCert) สาขาการเรียนรู้และการสอนในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเหมาะแก่ผู้ต้องการเป็นอาจารย์สอนในระดับอุดมศึกษา ยกตัวอย่าง Management Integrated PhD ที่ University of Sussex: https://www.sussex.ac.uk/study/phd/degrees/management-integrated-phd
  • PHD by Distance หรือ Online/distance learning PhD เน้นการวิจัยอิสระมากกว่าการใช้เวลาบรรยายและสัมมนา นักศึกษาไม่ต้องอาศัยอยู่ใกล้กับสถาบันที่เลือกเรียน โดยนักศึกษาจะติดต่อกับอาจารย์ที่ปรึกษาของทางโทรศัพท์ อีเมล หรือ Skype/Zoom นักศึกษาที่เลือกวิธีการวิจัยแบบนี้ ยังต้องเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลา 1 หรือ 2 สัปดาห์ในแต่ละปีการศึกษาเพื่อประชุมและรับการฝึกฝนทักษะการวิจัย การสอบปลายภาคจะทำแบบพบหน้ากันหรือแบบเสมือนจริงก็ได้ นักศึกษาสามารถลงทะเบียนเป็นนักศึกษาเต็มเวลาหรือ part-timeได้ในการเรียนปริญญาเอกออนไลน์ โดยค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบัน โดยบางแห่งคิดค่าธรรมเนียมเท่ากับค่าเรียนปริญญาเอกทั่วไป ในขณะที่บางแห่งคิดอัตราที่ลดลง ยกตัวอย่าง PHD by Distance ที่ University of Reading: https://www.reading.ac.uk/doctoral-researcher-college/doctoral-opportunities/phd-distance กรณีผู้ต้องการเรียนหลักสูตรนี้และกลับมาทำงานที่ประเทศไทย กรุณาตรวจสอบการรับรองหลักสูตร Online/ Distance learning PhD กับสำนักงานกพ.ก่อนว่าเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยหรือไม่

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved

การศึกษาวิชาการจัดการกับภัยพิบัติในประเทศสหรัฐอเมริกา

การศึกษาด้านการจัดการกับภัยพิบัติหรือวิกฤตในมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1980 โดยมีสาเหตุมาจากการเกิดภัยพิบัติทางอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในโลก ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1979 มีอุบัติเหตุThree Mile Island ที่เกิดจากการหลอมละลายของนิวเคลียร์บางส่วนใกล้กับเมือง Harrisburg รัฐ Pennsylvania ตามมาด้วยวาล์วระบายแรงดันเกิดติดขัดในระบบหลัก ทำให้สารหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์รั่วไหลออกมาจำนวนมาก ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1980 แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท Texaco ได้เจาะลงไปในเหมืองเกลือ ทำให้ Lake Peigneur ในรัฐ Louisiana ซึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อนกลายเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม หรือมีเหตุการณ์ใหญ่ของโลกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1986 ที่เกิดภัยพิบัติ Chernobyl ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl ในเมือง Pripyat สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือประเทศยูเครน) มีการทดสอบเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 และเกิดการควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลอมละลาย การระเบิดของไอน้ำและกัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้นตามมาคร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 50 ราย โดยคาดว่าอาจมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นระหว่าง 4,000 ถึงหลายแสนรายในช่วงเวลาหนึ่ง เขตห้ามเข้า Chernobyl ซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเบลารุสและยูเครนที่อยู่รอบๆ Pripyat ยังคงปนเปื้อนและไม่มีผู้อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ คนในเมือง Pripyat เองถูกอพยพออกไปทั้งหมดและกลายเป็นเมืองร้าง แม้ว่าจะมีสัตว์ป่าชุกชุมอยู่ก็ตาม ดังนั้น มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาจึงได้พัฒนาสาขาวิชา Crisis Management จนได้รับการยอมรับ และมีการฝึกอบรมและมีโปรแกรมการศึกษาต่างๆ มากมายตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก หลักสูตรจะเน้นที่การเตรียมพร้อม การตอบสนอง และการฟื้นฟูจากเหตุฉุกเฉิน โดยบางหลักสูตรยังเน้นที่สาขาเฉพาะ เช่น นโยบายสาธารณะหรือความมั่นคงภายในประเทศด้วย

ในช่วงแรก การจัดการวิกฤตมักถูกมองว่าเป็นส่วนย่อยของศาสตร์การประชาสัมพันธ์ โดยเน้นที่การจัดการการสื่อสารและการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับวิกฤต ต่อมาสาขาดังกล่าวได้ขยายออกไปเกินขอบเขตของวิชาการประชาสัมพันธ์ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ รวมถึงการจัดการธุรกิจ กฎหมาย วิศวกรรม และการจัดการเหตุฉุกเฉิน มหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มพัฒนาหลักสูตรและโปรแกรมเฉพาะด้านการจัดการวิกฤต โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการป้องกันวิกฤต การเตรียมพร้อม การตอบสนอง และการฟื้นตัว หลักสูตรการจัดการวิกฤตในปัจจุบันมักเน้นที่แนวทางสหสาขาวิชา โดยตระหนักว่าวิกฤตสามารถเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆได้หลากหลายสาขาวิชา และต้องใช้ความเชี่ยวชาญจากหลายสาขา นอกเหนือจากโปรแกรมทางวิชาการแล้ว องค์กรต่างๆ จำนวนมากยังเสนอโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองการจัดการวิกฤต

โดยทั่วไปหลักสูตรการจัดการวิกฤตมักจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ดังนี้

  1. การระบุและป้องกันวิกฤต การระบุสถานการณ์วิกฤตที่อาจเกิดขึ้นและการนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
  2. การวางแผนและการเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤต การพัฒนาแผนการจัดการวิกฤตที่ครอบคลุมและการเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
  3. การสื่อสารในวิกฤต การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในช่วงวิกฤต
  4. การตอบสนองต่อวิกฤต การนำแผนตอบสนองต่อวิกฤตไปปฏิบัติและการจัดการทันทีหลังจากเกิดวิกฤ
  5. การฟื้นตัวจากวิกฤต การพัฒนากลยุทธ์สำหรับการฟื้นตัวจากวิกฤตและการฟื้นฟูชื่อเสียงขององค์กร

ศาสตราจารย์กิตติคุณ Otto Lerbinger จาก Boston University ได้แบ่งประเภทของวิกฤตออกเป็น 8 ประเภทคือ

  1. ภัยธรรมชาติ (Natural disaster) ปรากฏการณ์ทางสิ่งแวดล้อม เช่น แผ่นดินไหว การระเบิดของภูเขาไฟ พายุทอร์นาโดและพายุเฮอริเคน น้ำท่วม ดินถล่ม สึนามิ พายุ และภัยแล้ง ซึ่งคุกคามชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม
  2. วิกฤตทางเทคโนโลยี (Technological crisis) อุบัติเหตุทางเทคโนโลยีมักเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน และมีบางอย่างผิดพลาดในระบบโดยรวม วิกฤตทางเทคโนโลยีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อข้อผิดพลาดของมนุษย์ทำให้เกิดการหยุดชะงัก
  3. การเผชิญหน้า (Confrontation) วิกฤตการเผชิญหน้าเกิดขึ้นเมื่อบุคคลและ/หรือกลุ่มที่ไม่พอใจต่อสู้กับธุรกิจ รัฐบาล และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับในข้อเรียกร้องและความคาดหวังของพวกเขา วิกฤตการเผชิญหน้าประเภททั่วไปคือการคว่ำบาตร และประเภทอื่นๆ ได้แก่ การเดินขบวนประท้วง การนั่งประท้วง การยื่นคำขาดต่อผู้มีอำนาจ การปิดกั้นหรือยึดครองอาคาร และการต่อต้านหรือไม่เชื่อฟังตำรวจ
  4. ความอาฆาตพยาบาท (Malevolence)องค์กรจะเผชิญกับวิกฤตแห่งความอาฆาตแค้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามหรือผู้กระทำความผิดใช้วิธีการทางอาญาหรือกลวิธีสุดโต่งอื่นๆ เพื่อแสดงความเกลียดชังหรือโกรธแค้นต่อหรือแสวงหาผลประโยชน์จากบริษัท ประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจ โดยอาจมีจุดประสงค์เพื่อทำลายหรือทำลายองค์กร ตัวอย่างวิกฤตได้แก่ การดัดแปลงผลิตภัณฑ์ การลักพาตัว ข่าวลือที่เป็นอันตราย การก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการจารกรรม
  5. วิกฤตการณ์จากการกระทำผิดขององค์กร (Organizational Misdeeds) วิกฤตการณ์ชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายบริหารดำเนินการที่ทราบว่าจะสร้างความเสียหายหรือทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสี่ยงต่ออันตรายโดยไม่ได้มีการป้องกันอย่างเหมาะสม วิกฤตการณ์จากการกระทำผิดขององค์กรมี 3 ประเภทคือ
    • วิกฤตการณ์จากค่านิยมการจัดการที่เบี่ยงเบน เกิดขึ้นเมื่อผู้นำให้ความสำคัญกับผลกำไรทางการเงินในระยะสั้นในขณะที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคมที่กว้างขึ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญนอกเหนือไปจากนักลงทุน ความไม่สมดุลนี้มักเกิดจากแนวคิดทางธุรกิจแบบเดิมที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยไม่คำนึงถึงลูกค้า พนักงาน และชุมชน
    • วิกฤตการณ์จากการหลอกลวง เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายบริหารปกปิดหรือนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องในการติดต่อกับผู้บริโภคและผู้อื่น
    • วิกฤตการณ์จากความประพฤติมิชอบของฝ่ายบริหาร วิกฤตการณ์บางอย่างไม่ได้เกิดจากค่านิยมที่เบี่ยงเบนและการหลอกลวงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากศีลธรรมที่จงใจและการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
  6. ความรุนแรงในสถานที่ทำงาน (Workplace Violence) เกิดขึ้นเมื่อพนักงานหรืออดีตพนักงานใช้ความรุนแรงต่อพนักงานคนอื่นโดยอ้างเหตุผลขององค์กร
  7. ข่าวลือ (Rumours) ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับองค์กรหรือผลิตภัณฑ์สร้างวิกฤตที่ทำลายชื่อเสียงขององค์กร
  8. การโจมตีของผู้ก่อการร้าย/ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น (Terrorist attacks/man-made disasters) เกิดขึ้นเมื่อวิกฤตเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น วิกฤตทางการเงินระดับโลก อุบัติเหตุทางการขนส่ง

มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อเรียกหลักสูตรว่า Crisis management”การจัดการวิกฤต” บ้างDisaster Management “การจัดการภัยพิบัติ” บ้างและ/หรือ Emergency Management “การจัดการฉุกเฉิน”ทั้งสามคำนี้ใช้แทนกันได้ โดย Emergency Management จะเป็นคำที่กว้างที่สุดที่สามารถครอบคลุมทั้ง Disaster Management ( Disaster จะเป็นเริ่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก) และ Crisis Management ( Crisis คือเน้นที่การตอบสนองทันทีต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด)

นอกจากนี้หลักสูตร Emergency Management ที่เปิดสอนอยู่ภายใต้คณะที่แตกต่างกันก็จะมีขอบเขตการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยเน้นที่ด้านหรือพื้นที่เฉพาะของความเชี่ยวชาญภายในสาขานั้นๆ เหตุผลที่ต้องมีขอบเขตที่ต่างกันศึกษาได้จาก

  • จุดเน้นของหลักสูตร บางหลักสูตรเน้นความเชี่ยวชาญในด้านภัยธรรมชาติ บางหลักสูตรเน้นที่การก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เป็นต้น
  • ความสนใจในงานวิจัย ความเชี่ยวชาญของคณาจารย์ผู้สอนและงานวิจัยของคณะที่เปิดสอนมีอิทธิพลต่อการกำหนดหลักสูตร
  • เป้าหมายของกลุ่มผู้เข้าเรียน บางหลักสูตรรองรับผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานด้านการจัดการเหตุฉุกเฉินอยู่แล้ว ในขณะที่บางหลักสูตรออกแบบมาสำหรับนักศึกษาที่เพิ่งเข้าสู่สาขานี้
  • บริบทระดับภูมิภาค บางหลักสูตรอาจเน้นที่อันตรายที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือไฟป่า
  • แนวทางสหวิทยาการ บางหลักสูตรเน้นแนวทางสหวิทยาการที่กว้างขวาง โดยดึงเอาจากสาขาต่างๆ เช่น สาธารณสุข งานสังคมสงเคราะห์ และวิศวกรรมศาสตร์
  • ทักษะเชิงปฏิบัติกับความรู้เชิงทฤษฎี บางหลักสูตรให้ความสำคัญกับการฝึกปฏิบัติจริงและการจำลองสถานการณ์ ในขณะที่บางหลักสูตรเน้นที่กรอบทฤษฎีและวิธีการวิจัย

ก่อนตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรวิชาการจัดการกับวิกฤตควรจะตรวจสอบว่า หลักสูตรของมหาวิทยาลัยเปิดสอนภายใต้คณะอะไร มีขอบเขตเนื้อหาตรงกับความตั้งใจของผู้ต้องการไปศึกษาต่อหรือไม่ หลักสูตรที่มีขอบเขตแตกต่างกันของแต่ละมหาวิทยาลัยจะเน้นการศึกษาในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ

  • การจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติจะครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น การเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว การตอบสนองต่ออุทกภัย การบรรเทาไฟป่า และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ความมั่นคงภายในประเทศ หลักสูตรจะเน้นไปที่การป้องกันการก่อการร้าย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ความปลอดภัยชายแดน และการต่อต้านข่าวกรอง
  • สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เนื้อหาจะครอบคลุมการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับโรคระบาด การตอบสนองต่อการระบาดของโรค และโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
  • ความต่อเนื่องทางธุรกิจ หลักสูตรจะเน้นที่การพัฒนากลยุทธ์สำหรับองค์กรเพื่อรักษาการดำเนินงานระหว่างและหลังเหตุการณ์ฉุกเฉิน
  • การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเน้นไปที่การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติในชุมชน การประเมินความเสี่ยง และการสร้างขีดความสามารถ
  • บริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) และการตอบสนองต่อภัยพิบัติ หลักสูตรเน้นที่การให้การดูแลทางการแพทย์และการสนับสนุนในระหว่างเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการค้นหาและกู้ภัย เหตุการณ์ผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
  • ความเป็นผู้นำในการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน เน้นที่การพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการสื่อสาร การตัดสินใจ และการจัดสรรทรัพยากร
  • การศึกษาในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลักสูตรนี้เน้นที่การทำให้แน่ใจว่าการศึกษาจะดำเนินต่อไปในระหว่างและหลังเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์สำหรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย การให้การสนับสนุนด้านจิตสังคม และการจัดการกับการสูญเสียการเรียนรู้

ขอนำเสนอตัวอย่างหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการวิกฤตที่เปิดสอนตามคณะต่างๆของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เช่น

ใน School of Business

Eastern Kentucky University: https://catalogs.eku.edu/graduate/business/business/online-mba-concentration-emergency-management-disaster-resilience/#programrequirementstext

ใน Department of Communication

Towson University: https://www.towson.edu/cofac/departments/mass-communication/communication-management/

ใน College of Engineering

Oklahoma State University: https://www.masterstudies.com/institutions/oklahoma-state-university-college-of-engineering-architecture-and-technology

ใน School of Law

Loyola University Chicago: https://www.luc.edu/law/academics/degreeprograms/llmdegrees/llmincomplianceenterpriseriskmanagement/

ใน College of Public Affairs & Policy

State University of New York, Albany: https://www.albany.edu/cehc/programs/ms-emergency-management-homeland-security#

ใน College of Public Health

University of Georgia : https://idm.publichealth.uga.edu/academics/graduate/master-of-public-health/

ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Crisis_management#:~:text=The%20study%20of%20crisis%20management,c)%20a%20short%20decision%20time.

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved

วิชาปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence มีเรียนอะไรบ้าง

Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์เป็นเทคโนโลยีที่สามารถเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ในการแก้ปัญหา ตัดสินใจ และสร้างแนวคิด ระบบ AI เรียนรู้โดยการประมวลผลข้อมูลฝึกอบรมจำนวนมหาศาลและระบุรูปแบบ กระบวนการเรียนรู้นี้จะ ช่วยให้โมเดลตอบสนองต่อคำสั่งของผู้ใช้ได้เหมือนมนุษย์

หัวข้อหลักๆในศาสตร์ AI คือ

  • Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง) โปรแกรมการเรียนรู้ของเครื่องใช้อัลกอริทึมในการวิเคราะห์ข้อมูลฝึกอบรมและเรียนรู้จากรูปแบบและความสัมพันธ์ ทำให้สามารถทำงานเฉพาะได้ โมเดลจะปรับปรุงขึ้นตามประสบการณ์ ดังนั้นความแม่นยำจึงเพิ่มขึ้นเมื่อเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต
  • Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) เครือข่ายการ เรียนรู้เชิงลึกมีเครือข่ายประสาทเทียมที่ซับซ้อนคล้ายกับสมองของมนุษย์ เครือข่ายเหล่านี้สามารถระบุรูปแบบที่ซับซ้อนและให้การตอบสนองที่เข้าใจได้ ดังนั้น จึงสามารถรับมือกับงานที่โดยปกติแล้วต้องใช้สติปัญญาของมนุษย์ เช่น การอ่านภาพทางการแพทย์หรือระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากภาพถ่ายดาวเทียม
  • Natural Language Processing (การประมวลผลภาษาธรรมชาติ) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) คือประเภทของการเรียนรู้ของเครื่องจักรที่ช่วยให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าใจและใช้ภาษาของมนุษย์ได้ โปรแกรม NLP ฝึกฝนข้อมูลภาษาธรรมชาติในปริมาณมหาศาลเพื่อให้สามารถสื่อสารได้ในลักษณะเดียวกับมนุษย์
  • Computer Vision (การมองเห็นด้วยคอมพิวเตอร์) ช่วยให้เครื่องจักรสามารถตีความข้อมูลภาพจากรูปภาพและวิดีโอ
  • Robotics (หุ่นยนต์) การออกแบบและเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์เพื่อโต้ตอบกับโลกกายภาพ
  • Data Analysis (การวิเคราะห์ข้อมูล) เทคนิคในการดึงข้อมูลเชิงลึกจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่
  • Algorithms และ Data Structures ทำความเข้าใจวิธีการออกแบบอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหา

Artificial Intelligence (AI) ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหรือยากต่อการเรียนรู้ แต่ผู้ที่ต้องการเรียนต่อทางด้าน AI ต้องมีความสามารถด้านการเขียนโปรแกรม คณิตศาสตร์ และสถิติเพื่อเข้าใจแนวคิดพื้นฐาน ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพ และนำโมเดล AI ไปใช้ได้

ก่อนตัดสินใจเลือกศึกษาต่อ Artificial Intelligence ในระดับสูง ผู้เรียนควรเรียนจบปริญญาตรีในสาขา Computer Science, Data Science, Engineering, Physics, Mathematics, Statistics หรือวิชาเชิงปริมาณอื่นๆ (Quantitative Subjects) หรืออย่างน้อยเป็นผู้ที่เคยลงเรียนหลักสูตรสั้นๆเกี่ยวกับวิชาดังกล่าวมาบ้าง หรือมี Certificate ในสาขาวิชา AI หรือ Data Science มาแล้วบ้าง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในการเรียนได้ดีขึ้นและได้รับความรู้ทางเทคนิคอย่างที่ต้องการ หากไม่มีพิ้นฐานดังกล่าวมาเลย จะทำให้ความเข้าใจในบทเรียนเป็นไปได้ช้า หรืออาจไม่พบความสำเร็จในการเรียนจนเกิดความท้อถอยในการเรียนได้

ในประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกาจะมีหลักสูตร AI ตั้งแต่ระดับอนุปริญญา AS, AAS เช่น ที่ Houston Community College (https://catalog.hccs.edu/preview_program.php?catoid=23&poid=9677&returnto=1561) , ปริญญาตรี, ปริญญาโท และปริญญาเอก ตัวอย่างหลักสูตรปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Illinois Institute of Technology มีเนื้อหาดังภาพประกอบด้านล่าง วิชาที่เป็น Requirements คือวิชาบังคับ ส่วนวิชาที่เป็น Electives คือ วิชาเลือก จำนวนหน่วยกิตทั้งหมดที่ต้องลงทะเบียนเรียนคือ 127 หน่วยกิต ไม่จำเป็นว่า ทุกมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาต้องเรียน 127 หน่วยกิตเท่ากัน หรือเรียนวิชาชื่อเดียวกัน ก็คงคล้ายกับมหาวิทยาลัยอื่นๆทั่วไปทั้งในประเทศไทยหรือในประเทศอื่นๆ การยกตัวอย่างมาให้ดู 1 มหาวิทยาลัย เพื่อให้พอเห็นภาพคร่าวๆว่า ผู้ไปเรียนต่อ Artificial Intelligence มีเรียนวิชาอะไรกันบ้าง จะได้ประเมินได้ว่าตรงกับที่เราสนใจไหม เรามีความชอบวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ และการวิเคราะห์ไหม เป็นต้น https://catalog.iit.edu/undergraduate/colleges/computing/computer-science/bs-artificial-intelligence/

เมื่อต้องการเรียนต่อในระดับสูงกว่าระดับปริญญาตรี ผู้เรียนต้องมีความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และการเขียนโปรแกรม (โดยเฉพาะภาษา Python)ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งหลักสูตร calculus, linear algebra, statistics, algorithms และ แนวคิดสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ เช่น machine learning, deep learning, natural language processing, computer vision, และ robotics ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่มีความสนใจหรือต้องการจะเจาะลึกในหัวข้อเฉพาะต่อไป เช่น สนใจด้าน data analysis, neural networks หรือ AI ethics เป็นต้น

ขอยกตัวอย่างหลักสูตรปริญญาโท M.S. in Artificial Intelligence ของ 1 มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาว่า มีวิชาที่เรียนอะไรบ้าง เพื่อจะได้เห็นภาพคร่าวๆว่า การศึกษาที่ลงลึกในวิชานี้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับอะไร แต่จะอย่างไรก็ตาม แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีหลักสูตรของตนเอง ที่ยกตัวอย่างของ Carnegie Mellon University มาให้ดู เพราะเป็นมหาวิทยาลัยติดอันดับต้นๆทางด้าน Artificial Intelligence ในประเทศสหรัฐอเมริกา https://msaii.cs.cmu.edu/curriculum-0 นักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะต้องเรียนทั้งหมด 195 หน่วยกิต ซึ่งประกอบด้วย

  • หลักสูตรบังตับ (core curriculum) 84 หน่วยกิต ได้แก่ Artificial Intelligence and Future Markets, Law of Computer Technology, AI Engineering, AI Innovation รวมถึง Capstone Project อีก 36 หน่วยกิต
  • Knowledge Requirements อีก 72 หน่วยกิต ได้แก่ Coding Bootcamp, Machine Learning, Deep Learning, Generative AI หรือ Large Language Models, Natural Language Processing, และอีก 12 หน่วยกิต ในหมวดวิชา AI, NLP, หรือ ML อาทิเช่น Machine Learning with Large Datasets, Introduction to Question Answering (with LLMs), On-Device Machine Learning, Multimodal Machine Learning, Talking to Robots หรือหลักสูตรบัณฑิตศึกษาในด้าน AL, NLP หรือ ML อื่นๆ
  • วิชา Elective ที่ต้องเลือกอีก 3 วิชาจำนวน 36 หน่วยกิต และ LTI Practicum (3 หน่วยกิตที่เกี่ยวข้องกับการฝึกงานในช่วงฤดูร้อน) LTI Practicum เป็นชื่อหลักสูตรใน Language Technologies Institute ซึ่งอยู่ในคณะ School of Computer Science ตัวอย่างรายชื่อวิชา Elective ได้แก่

การศึกษาในระดับปริญญาเอก จะเน้นงานวิจัย โดยใช้เวลาในการเรียนและทำวิทยานิพนธ์นานประมาณ 4-5 ปี ลักษณะงานวิจัยอาจจะเป็น Ph.D in Artificial Intelligence, Ph. D. in Machine Learning หรือเป็นการวิจัยร่วมกับศาตร์ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น Carnegie Mellon University มีหลักสูตรระดับปริญญาเอกด้านปัญญาประดิศฐ์หลายด้าน อาทิ Ph.D. in Statistics & Machine Learning, Ph.D. in Machine Learning & Public Policy, Ph.D. in Neural Computation & Machine Learning, PhD in Autonomous & Human Decision Making หรือ Harvard University มีหลักสูตร Ph.D. in Biomedical Informatics, Artificial Intelligence in Medicine Track เป็นต้น

กรณีผู้สนใจเรียนมีพิ้นฐานความรู้มาจากสาขาวิชาอื่นที่ไม่ใช่สาย STEM หรือมีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ไม่แข็งแกร่งหรือมีประสบการณ์ด้าน AI น้อย แต่อยากเรียนวิชาเกี่ยวกับ AI จะมีหลายมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรในลักษณะสหสาขาวิชาการหรือ Interdisciplinary จาก 2-3 คณะวิชามารวมกันหรือคณะเดียวแต่เน้นไปที่ผลกระทบทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น บางวิชาจากคณะเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ คณะศิลปะ คณะรัฐศาสตร์ และเสริมด้วยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเฉพาะทางหรือจากคณะคณิตศาสตร์ เป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ โดยผู้เรียนจะได้พัฒนาความรู้เชิงทฤษฎีตามการปฏิบัติจริง และได้รับประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเครื่องมือ AI และเป็นความรู้เชิงองค์รวม เพื่อให้ทราบวิสัยทัศน์ว่าเทคโนโลยี AI จะมีภาพรวมเป็นอย่างไร เพื่อรับมือกับความท้าทายทางจริยธรรมและผลกระทบต่อสังคมได้ เนื้อหาวิชาที่เรียน เช่น AI Ethics and Governance, Social and Political Impacts of AI, Human-Computer Interaction, Data Privacy and Security, Algorithmic Bias ตัวอย่างหลักสูตร ได้แก่

ในประเทศอื่นๆในยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ก็จะมีหลักสูตรปริญญาโทด้าน AI กับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาก เช่น

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved

มาทำความรู้จักกับ EnglishUSA และ English UK

EnglishUSA เป็นชื่อองค์กรหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมโปรแกรมภาษาอังกฤษทุกประเภท English Language Proficiency (ELP) รวมถึงโปรแกรมทางเลือกภายในสถาบันต่างๆ EnglishUSA มีจำนวนสมาชิกที่ได้รับการรับรองประมาณ 238 แห่ง ข้อมูลจากเว็บไซต์ EnglishUSA จึงเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมภาษาอังกฤษที่ได้รับการรับรองในสหรัฐอเมริกาที่เชื่อถือได้ สำนักงานของ EnglishUSA ตั้งอยู่ที่ 2900 Delk Road Suite 700, PMB 321 Marietta, GA 30067 บนเว็บไซต์ EnglishUSA จะมีหัวข้อ Chossing a Program ให้เลือก ทำให้นักศึกษาที่สนใจไปเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถเลือกโรงเรียนสอนภาษาได้จากสถานที่ตั้งของโรงเรียน (Location) ประเภทของหลักสูตร อาทิเช่น General English Programs, Intensive English Programs, Academic English Programs (ประกอบด้วย Intensive English or English Pathway), Business English, Certificate Programs, Teacher Training Programs และระยะเวลาที่ต้องการเรียน (Short-term courses, Quarter or Semester) จำนวนชั่วโมงในการเรียนต่อสัปดาห์ ซึ่งในการขอวีซ่านักเรียน นักศึกษาจะต้องลงทะเบียนเรียนอย่างน้อย 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีประเภทของที่พักให้เลือก เช่น ต้องการหาที่พักเป็นแบบ Home-stays, หอพักนักเรียน หรือ Hotels or apartments ทั้งหมดนี้ศึกษาได้จากเว็บไซต์ https://www.englishusa.org/)

นอกจากนี้ EnglishUSA ยังมี interactive map ไว้ให้นักศึกษาเลือกหาโรงเรียนสอนภาษาในรัฐที่นักศึกษาสนใจจะเดินทางไปศึกษาต่อ เช่น ในรัฐ California จะมีรายชื่อสถาบันสอนภาษาประมาณ 34 แห่งเรียงตามตัวอักษร https://www.englishusa.org/page/ProgramSearch

English UK

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Accreditation UK ก่อน Accreditation UK คือชื่อโครงการรับรองคุณภาพศูนย์การสอนภาษาอังกฤษ English Language Teaching (ELT) ในสหราชอาณาจักร British Council จะดำเนินการร่วมกับ English UK โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตร ELT เปิดสอน โดยสมาชิกจะได้รับการตรวจสอบทุก ๆ 4 ปี Accreditation UK จะจัดให้มีการไปเยี่ยมดูสถานที่สอนภาษาเหล่านั้นโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าระหว่างการตรวจสอบ ข้อกำหนดของโครงการนี้ถือเป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดที่สุดในโลก เพราะเป็น 1 ในโครงการตรวจสอบที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยแก่ผู้ให้บริการที่ต้องการสอนนักเรียนภายใต้วีซ่านักเรียนระยะสั้นสำหรับหลักสูตรภาษาอังกฤษที่มีระยะเวลาไม่เกิน 11 เดือน ผู้ให้บริการสอนภาษาอังกฤษต้องได้รับการรับรองภายใต้โครงการนี้ก่อน จึงจะสมัครเข้าร่วม English UK ได้ เว้นแต่สถาบันนั้นจะเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา หรือการศึกษาต่อเนื่อง และสนใจเป็นสมาชิกสมทบ ไม่ใช่เป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ English UK ทำหน้าที่ส่งเสริมคุณภาพการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในสหราชอาณาจักร

English UK ยังมีกลุ่มย่อยมากมายที่เป็นตัวแทนความเชี่ยวชาญด้านการสอนหรือจะแยกตามภูมิภาค สมาชิก English UK ทุกแห่งสามารถเข้าร่วมกลุ่มย่อยที่เกี่ยวข้องใดๆ หรือทั้งหมดก็ได้ หากต้องการการเชื่อมต่อกับสมาชิกที่อื่นๆ เป็นการแบ่งปันแนวคิด เรียนรู้จากกันและกัน และสร้างโปรไฟล์ร่วมกัน กลุ่มย่อยต่างๆประกอบด้วย

  • Young Learners English UK เป็นกลุ่มที่มีสมาชิก English UK ที่จะเปิดสอนหลักสูตรสำหรับนักเรียนอายุ 7-17 ปี กลุ่มนี้มุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานและโปรไฟล์ของหลักสูตรภาษาอังกฤษที่ได้รับการรับรองสำหรับผู้เรียนรุ่นเยาว์ ปรับปรุงมาตรฐานสวัสดิการและความปลอดภัย และทำการตลาดให้กับผู้ให้บริการหลักสูตรสำหรับเยาวชน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Young Learners English UK ได้ที่ http://www.yleuk.com/
  • National Groups จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
    • English UK Scotland มีสมาชิก 15 แห่ง ทั้งศูนย์สอนภาษาเอกชน มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยการศึกษาระดับสูงที่ดำเนินการโดยรัฐ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.englishukscotland.com/
    • English UK Northern Ireland มีสมาชิก 4 แห่ง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ English UK Northern Ireland โปรดติดต่อที่ [email protected]
    • English UK Wales มีสมาชิกทั้งหมด 7 แห่ง มีทั้งหลักสูตรสำหรับผู้ใหญ่และเยาวชนหลากหลายประเภทตั้งอยู่ที่เมือง Cardiff และ Swansea ทางใต้ของเวลส์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ [email protected]
  • Regional Groups ประกอบด้วย 6 ภูมิภาคคือ
    • English UK Central ครอบคลุมพื้นที่ Shropshire, Staffordshire, Nottinghamshire, Herefordshire, Worcestershire, Warwickshire, Leicestershire, Derbyshire ส่วนใหญ่และ Gloucestershire ตอนเหนือ ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ [email protected]
    • English UK East ครอบคลุมพื้นที่ Cambridgeshire, Bedfordshire, Hertfordshire, Norfolk, Suffolk, Essex และ Northamptonshire ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ [email protected]
    • English UK London มีสมาชิกมากกว่า 35 แห่ง
    • English UK North ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนเหนือของอังกฤษ รวมถึงเมือง Manchester, Liverpool, Chester, Newcastle รวมถึงเขต Yorkshire, the Lake District และ Lancashire สมาชิกประกอบด้วยมหาวิทยาลัย 5 แห่ง วิทยาลัยการศึกษาระดับสูง 6 แห่ง และโรงเรียนสอนภาษาหลายแห่ง ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.englishuknorth.com
    • English UK South ครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ของ Hampshire และ Dorset บนชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ และมีสมาชิกอยู่ในเขต Southampton และ Bournemouth
    • English UK South West ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษและเขต Devon, Somerset, Dorset, Wiltshire รวมถึงเมือง Bath และ Bristol มีสมาชิกมากกว่า 20 ราย ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.englishuksouthwest.com

การหาสถานที่สอนภาษาอย่างง่ายๆจากเว็บไซต์ นักศึกษาสามารถเลือกประเภทของหลักสูตรที่สนใจได้จาก 15 หัวข้อจาก A ถึง O What type of courses are you looking for? A. คือ General & Intensive English B. Foundation/ Access Courses C. English for Specific Purposes D. English for Business/Executives E. Vacation courses for Adults F. Vacation courses for young learners G. English Plus H. Home Tuition I. One to one J. Teacher training&development K Work Experience L. Examination preparation courses M. English for Academic Purpose(EAP) N. One to two O. Family/ parent and child courses ( https://www.englishuk.com/en/students)

หลังจากนั้นเลือกสถานที่ที่สนใจ Where do you want to study? ซึ่งจะมีพื้นที่ให้เลือก เช่น Scotland, Northern Ireland, Northern England, Wales, Central England, Eastern England, London, South and South East England, South West England & Channel Islands และคลิก Find my course ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการที่นักศึกษาที่สนใจจะเลือกหาที่เรียนด้วยตนเอง

ตัวอย่างเช่น เลือก General & Intensive English แถวบริเวณตอนกลางของประเทศอังกฤษ ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา 37 หลักสูตร จาก 15 สถาบัน ถ้าต้องการทราบรายละเอียดของสถาบันนั้นคลิกชื่อสถาบันเพื่อเข้าไปอ่านรายละเอียดของสถาบันสอนภาษาแห่งนั้นได้

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved