จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 สถาบันการศึกษานานาชาติ (Institute of International Education: IIE) ได้เผยแพร่รายงาน Open Doors ประจำปี รายงานดังกล่าวถูกพิมพ์เผยแพร่ทุกปี ประกอบด้วยข้อมูลโดยละเอียดและข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่ไหลเข้าและออกจากสหรัฐอเมริกาในปีการศึกษาก่อนหน้าคือปีค.ศ. 2023 รายงานของ Open Doors ประจำปีค.ศ. 2024 แสดงให้เห็นว่า มีนักศึกษาต่างชาติจำนวน 1,126,690 คน กำลังศึกษาต่ออยู่ในสหรัฐอเมริกาในปีการศึกษา 2023–2024 ซึ่งคิดเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2022-2023 จำนวนนักศึกษาต่างชาติสูงสุดตลอดกาลในประเทศสหรัฐอเมริกามาจากประเทศอินเดียและจีน ประเทศอินเดียกลายเป็นประเทศต้นทางอันดับ 1 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2009 โดยมีนักศึกษาเพิ่มขึ้น 35% ส่วนจีนก็ยังคงเป็นแหล่งที่มาของนักศึกษาต่างชาติรายใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนนักศึกษาจีนก็ลดลง 4% เมื่อเทียบจากปี 2022 8 ประเทศใน 25 ประเทศแรก รวมถึงบังกลาเทศ โคลอมเบีย กานา และเนปาล มีนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ แอฟริกาใต้สะฮารามีนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 13 % https://opendoorsdata.org/fact_sheets/fast-facts/

ประเทศที่มีนักศึกษาเข้าไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาเกิน 10,000 คน

ชื่อประเทศปีการศึกษา 2022-2023ปีการศึกษา 2023-2024
India268,923331,602
China289,526277,398
South Korea43,84743,149
Canada27,87628,998
Taiwan21,83423,157
Vietnam21,90022,066
Nigeria17,64020,029
Bangladesh13,56317,099
Brazil16,02516,877
Nepal15,09016,742
Mexico14,54115,474
Saudi Arabia15,98914,828
Japan16,05413,959
Iran10,81212,430
Pakistan10,16410,988
United Kingdom10,65910,473
Colombia9,09610,120

จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่ลงทะเบียนเรียนต่อระดับปริญญาโท ( Graduate) เพิ่มขึ้น 8 % ในขณะที่จำนวนนักศึกษาปริญญาตรี ( Undergraduate) ลดลงเล็กน้อย 1 %

มีนักศึกษาต่างชาติ 56 % ที่เลือกลงทะเบียนเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) โดยสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ และการวิเคราะห์ข้อมูลยังคงเป็นสาขาที่ได้รับความนิยมสูงสุด

วิชาที่สนใจไปเรียนต่อปีการศึกษา 2022-2023ปีการศึกษา 2023-2024
Math & Computer Science240,230280,922
Engineering202,801210,163
Business Management157,281159,810
Physical & Life Science84,83088,717
Social Sciences85,99884,307
Fine & Applied Arts51,68954,159
Health Profession34,85636,615
Communications & Journalism21,99021,481

รัฐ California, รัฐ New York และรัฐ Texas เป็นรัฐที่มีนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด รายชื่อ 10 รัฐที่มีนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด

ชื่อรัฐปีการศึกษา 2022-2023ปีการศึกษา 2023-2024
California138,393140,858
New York126,782135,813
Texas80,75789,546
Massachusetts79,75182,306
Illinois55,33762,299
Pennsylvania48,59350,514
Florida42,59044,767
Michigan33,50138,123
Ohio34,20436,884
Missouri24,26032,647

15 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่มีนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด

ชื่อมหาวิทยาลัยชื่อรัฐปีการศึกษา 2023-2024
New York University New York27,247
Northeastern UniversityMassachusetts21,023
Columbia UniversityNew York20,321
Arizona State University, Campus ImmersionArizona18,430
U. of Southern CaliforniaCalifornia17,469
U. of Illinois, Urbana ChampaignIllinois15,376
Boston UniversityMassachusetts12,853
U. of California, BerkeleyCalifornia12,441
Purdue University, West LafayetteIndiana12,181
U. of North TexasTexas11,917
U. of Michigan, Ann ArborMichigan11,766
U. of WashingtonWashington10,720
U.of Texas, DallasTexas10,491
U. of California, San DiegoCalifornia10,467
U. of California, Los AngelesCalifornia10,446

รายงานของ Open Doors ยังได้ระบุที่มาของแหล่งเงินทุนที่นักศึกษาต่างชาติเข้าไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏว่า เป็นนักศึกษาทุนส่วนตัวหรือทุนจากครอบครัวสนับสนุนให้มาเรียนมากถึง 54.5% เป็นนักศึกษาทุนรัฐบาลของประเทศต่างๆประมาณ 1.8%

สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีประเทศไทยและประเทศเวียดนามถูกจัดว่า ส่งนักศึกษาเข้าไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกามากที่สุด ประเทศไทยครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับว่า มีจำนวนนักศึกษาเข้าไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับ 9 อย่างไรก็ตาม อันดับของประเทศไทยเริ่มตกลงตั้งแต่ปีค.ศ. 2010 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 15 ปีค.ศ. 2012 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 17 ปีค.ศ 2013 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 20 ปีค.ศ. 2015 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 23 ปีค.ศ.2016 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 24 ตั้งแต่ปีค.ศ. 2017 ประเทศไทยไม่ได้ติดอยู่ในรายชื่อ 25 ประเทศที่ส่งนักศึกษาเข้าไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกามากที่สุด https://opendoorsdata.org/wp-content/uploads/2024/11/Fast-Facts_2010-2023.pdf

สาเหตุหลักๆที่นักศึกษาไทยเลือกไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาลดลงมีหลายประการ อาทิ การแข่งขันในเรื่องการศึกษาต่อต่างประเทศมีสูงขึ้น ประเทศที่เป็นคู่แข่งของประเทศสหรัฐอเมริกาคือสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักรมีการทำการตลาดด้านการศึกษาให้คนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น โครงสร้างทางการศึกษาที่แตกต่างกันก็มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประเทศไปศึกษาต่อ ปริญญาตรีในสหราชอาณาจักรใช้ระยะเวลาในการเรียน 3 ปี ไม่นับสก็อตแลนด์ที่ยังคงใช้ระยะเวลาในการเรียนนาน 4 ปี ส่วนปริญญาโทในสหราชอาณาจักรใช้ระยะเวลาในการเรียนนาน 1 ปี ยกเว้นปริญญาโทที่เน้นทำวิจัยใช้เวลา 2 ปี ปริญญาเอกในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ใช้เวลา 4 ปี ขณะที่สหรัฐอเมริกาอาจใช้เวลาถึง 5 ปี จำนวนระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาที่น้อยกว่าทำให้ใช้งบประมาณในการศึกษาต่อต่างประเทศต่างกัน วิธีการรับเข้าศึกษาต่อก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักศึกษาไทยนิยมไปศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักรมากขึ้น เป็นต้นว่า นักศึกษาที่ต้องการไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องมีผลสอบ Graduate Record Examination (GRE) ยื่นให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้อาจจะมีสาเหตุอื่นๆอีก เช่น ความปลอดภัย วัฒนธรรม การใช้ชีวิต เป็นต้น

ส่วนประเทศเวียดนามที่เป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งนักศึกษาไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกามากชึ้น ประเทศเวียดนามเริ่มติดอันดับ 8 ทุกปีตั้งแต่ปีค.ศ. 2012 และขยับเป็นอันดับ 6 ในปีค.ศ. 2016 และอันดับ 5 ในปีค.ศ. 2022 จนถึงปัจจุบัน นักศึกษาเวียดนามจะนิยมไปศึกษาต่อปริญญาตรีมากที่สุด และยินดีที่จะเริ่มเรียนใน Community College ก่อน Transfer ไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย นักศึกษาเวียดนามมากกว่า 47.1% เลือกที่จะศึกษาต่อด้าน Science, Technology, Engineering และ Math ( https://tuoitrenews.vn/news/education/20231106/about-30000-vietnamese-students-study-in-us/76572.html) นักศึกษาเวียดนามถือว่า มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีคุณภาพสูง มีศักยภาพในการที่จะก้าวหน้าในอาชีพการงาน ถ้าพวกเขามีปริญญาจากอเมริกา พวกเขาจะสามารถเข้าถึงแหล่งทุนการศึกษาได้ สหรัฐอเมริกามีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลาย และมีโอกาสได้รับประสบการณ์ระดับนานาชาติที่มีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเช่น วิทยาการคอมพิวเตอร์และธุรกิจ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดงานของเวียดนาม

Copyright © 2010-2025 GoVisa All rights reserved

Post Graduate degree ทางแพทย์ในสหราชอาณาจักร

การเรียนแพทย์ในสหราชอาณาจักรจะเริ่มหลังจากจบหลักสูตรหนึ่งหลักสูตรใดจาก A Level หรือ IB หรือ Foundation in Medicine และมีผลสอบ UKCAT หรือ BMAT ซึ่งขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการสมัครว่า ต้องการคะแนนสอบ UKCAT หรือ BMAT เท่าไร เพื่อเข้าศึกษาหลักสูตรปริญญาตรี หลักสูตรปริญญาตรีแพทยศาสตร์ที่สหราชอาณาจักรจะใช้เวลาในการเรียนนานประมาณ 5-6 ปี หลังจากนั้นจะเป็นแพทย์ฝึกหัดอีกประมาณ 2 ปี แล้วเข้าไปเรียนต่อหลักสูตรที่จะเน้นความเชี่ยวชาญในหลักสูตรนั้นๆ หลักสูตรที่เน้นความเชี่ยวชาญนี้จะใช้ระยะเวลาในการศึกษาแตกต่างกันแล้วแต่สาขาวิชาที่ต้องการฝึกความชำนาญมีตั้งแต่ 3-8 ปี

Post Graduate degree แพทยศาสตร์ในสหราชอาณาจักร เป็นการศึกษาขั้นสูงที่ประกอบด้วย master’s degrees, doctorates (PhDs), postgraduate diplomas และ postgraduate certificates ผู้ที่ต้องการเรียนหลักสูตร Post Graduate degree มักจะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแพทยศาสตร์ MBBS หรือ MBChB โดยมักจะได้รับเกียรตินิยมอันดับสองหรือสูงกว่า สำหรับปริญญาตรีแพทยศาสตร์ในสหราชอาณาจักรมักจะมีชื่อเรียกกันหลายอย่างดังนี้

  • MBBS (Bachelor of Medicine and Bachelor of Surgery) ใช้ในโรงเรียนแพทย์ทั้งหมดในปัจจุบันหรือก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ University of London รวมถึง Imperial College, UCL, King’s College, Barts and The London School of Medicine ( ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Queen Mary University) , St George’s, University of London, Norwich Medical School, Hull York Medical School, Newcastle University, University of Central Lancashire และ Ulster University
  • MBChB (Bachelor of Medicine and Bachelor of Surgery) ใช้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น Aston, Anglia Ruskin, Birmingham, Bristol, Buckingham, Lancaster, Leeds, Leicester, Liverpool, Keele, Manchester, Sheffield, Sunderland และ Warwick
  • MB BCh ใช้กับมหาวิทยาลัยใน Wales อาทิ Cardiff University และ Swansea University
  • MB (Bachelor of Medicine), BCh (Bachelor of Surgery), BAO( Bachelor in the Art of Obstetrics) จะใช้ที่ Queen’s University, Belfast
  • BM BCh ใช้กับ University of Oxford
  • BM BS ใช้ที่ University of Nottingham, University of Exeter, University of Plymouth, University of Southampton, Kent and Medway Medical School และ Brighton and Sussex Medical School
  • MB BChir ใช้กับ University of Cambridge
  • BMBS ใช้ที่ University of Southampton

ปริญญาโททางแพทย์ในสหราชอาณาจักรมักเรียกว่า Master of Medicine (MMed) Master of Medicine จะให้การฝึกอบรมและความรู้ขั้นสูงสำหรับการปฏิบัติทางคลินิกและการวิจัยแก่แพทย์ โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 2-4 ปีขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและหลักสูตรที่เลือกเรียน วิชาที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Clinical Research, Medical Education, Clinical Practice และ Leadership

สำหรับปริญญาอื่นๆ อาทิ PhD in Medicine เป็นปริญญาขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยในสาขาการแพทย์ โดยปกติจะใช้เวลาในการศึกษานานประมาณ 4-6 ปี Post Graduate Certificate( PGCert) จะสอนในระยะเวลาสั้นกว่าคือจะใช้เวลาเรียนประมาณครึ่งหนึ่งของการเรียน Post Graduate Diploma(PGDip) PGDip ทางแพทยศาสตร์มักจะใชเวลาในการเรียนนานประมาณ 2 ปี

เหตุผลในการไปศึกษาต่อปริญญาโททางการแพทย์ในสหราชอาณาจักร คือ สหราชอาณาจักรเป็นที่ตั้งของสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกหลายแห่ง โดยมีคณาจารย์ระดับแนวหน้าและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ปริญญาโทจากสหราชอาณาจักรได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สหราชอาณาจักรยังเป็นที่รู้จักในเรื่องการศึกษาที่เน้นการวิจัย นักศึกษาจะได้รับประสบการณ์จริงในโรงพยาบาลและสถาบันดูแลสุขภาพที่มีชื่อเสียง โดยได้ทำงานกับกลุ่มผู้ป่วยที่หลากหลาย

รายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตร Postgraduate degree in Medicine

กลุ่มที่ 1 คือ Medical Schools หรือโรงเรียนแพทย์ที่ตั้งอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงเรียนแพทย์จะเปิดสอนหลักสูตรระยะเวลา 6 ปี ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรก่อนคลินิก 3 ปีและหลักสูตรคลินิก 3 ปี มีโรงเรียนแพทย์จำนวน 47 แห่ง ที่เป็นสมาชิกของ Medical Schools Council (MSC) ของสหราชอาณาจักร Medical Schools Council เป็นองค์กรตัวแทนของโรงเรียนแพทย์ในสหราชอาณาจักรที่มีบทบาทในการกำหนดอนาคตของการศึกษาและการวิจัยทางการแพทย์ในสหราชอาณาจักร พันธกิจหลักของ MSC คือการรับประกันคุณภาพของการศึกษาทางการแพทย์ในสหราชอาณาจักร โรงเรียนแพทย์ทั้ง 47 แห่งหักออกไป 2 แห่ง ( คือ Kent and Medway Medical School และ Pears Cumbria School of Medicine)คงเหลือ 45 แห่งที่มีเปิดสอน Post Graduate Degree in Medicine สำหรับข้อดีของการเรียนในโรงเรียนแพทย์ทั้ง 45 แห่งนี้ คือ มีโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับงานวิจัย, การเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพใน National Health Service, การเตรียมความพร้อมสำหรับบทบาทในการวิจัย และ การเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพทางวิชาการทางคลินิก กล่าวคือ ทำการวิจัยและการรักษาผู้ป่วยในฐานะนักวิชาการทางคลินิกไปพร้อมๆกัน https://www.medschools.ac.uk/studying-medicine/how-to-apply-to-medical-school-in-the-uk/medical-schools

  1. University of Aberdeen: https://www.abdn.ac.uk/smmsn/postgraduate/taught/
  2. Anglia Ruskin University: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/aru-anglia-ruskin-university-3624
  3. Aston University: https://www.postgraduatesearch.com/pgs/search?course=medical-sciences&university=aston-university
  4. North Wales Medical School, Bangor University: https://www.bangor.ac.uk/study/postgraduate/medical-sciences และ https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/bangor-university-3633
  5. University of Birmingham: https://www.birmingham.ac.uk/study/postgraduate/subjects/medicine-courses
  6. Brighton and Sussex Medical School: https://www.bsms.ac.uk/postgraduate/index.aspx
  7. University of Bristol: https://www.bristol.ac.uk/medical-school/study/postgraduate/
  8. Brunel University London: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/brunel-university-of-london-3680
  9. University of Buckingham: https://www.buckingham.ac.uk/pg-medicine-allied-health/postgraduate-medicine
  10. University of Cambridge: https://www.postgraduate.study.cam.ac.uk/courses/departments/cvmd
  11. Cardiff University: https://www.cardiff.ac.uk/medicine/courses/postgraduate-taught
  12. University of Central Lancashire: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/university-of-central-lancashire-3701
  13. University of Chester: https://www.chester.ac.uk/study/postgraduate/health-and-social-care/
  14. University of Dundee: https://www.dundee.ac.uk/subjects/medicine
  15. University of East Anglia: https://www.uea.ac.uk/about/norwich-medical-school/education/postgraduate-taught-degrees
  16. Edge Hill University: https://www.edgehill.ac.uk/subject/postgraduate/medicine/
  17. University of Edinburgh: https://www.edgehill.ac.uk/subject/postgraduate/medicine/
  18. University of Exeter: https://www.exeter.ac.uk/study/postgraduate/courses/medicine/ และ https://www.exeter.ac.uk/study/pg-research/degrees/medicine/
  19. University of Glasgow: https://www.gla.ac.uk/subjects/medicine/postgraduate/
  20. Hull York Medical School: https://www.hyms.ac.uk/postgraduate-taught
  21. Imperial College London: https://www.imperial.ac.uk/medicine/study/postgraduate/masters-programmes/
    • Royal Postgraduate Medical School (RPMS) เป็นโรงเรียนแพทย์อิสระ ตั้งอยู่ที่ Hammersmith Hospital ทางตะวันตกของลอนดอน RPMS ก่อตั้งโดย Royal Charter ในปีค.ศ. 1931 และเปิดทำการในปีค.ศ. 1935เป็นสถาบันที่บุกเบิกการสอนและการวิจัยทางคลินิกระดับบัณฑิตศึกษา โรงเรียนแห่งนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับ Hammersmith Hospital และ Medical Research Council ซึ่งทำการวิจัยการสอนและการทำงานทางคลินิก RPMS มีอิทธิพลอย่างมากต่อการแพทย์ของอังกฤษและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการผ่าตัดต่อมไร้ท่อในสหราชอาณาจักร โรงเรียนแห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ British Postgraduate Medical Federation ในปี 1947 และเป็นที่รู้จักในชื่อ Postgraduate Medical School of London ในปี 1974 โรงเรียนได้กลายเป็นอิสระ โดยมีกฎบัตรใหม่และชื่อ Royal Postgraduate Medical School (https://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Postgraduate_Medical_School) ในปีค.ศ. 1988 Royal Postgraduate Medical School ได้รวมเข้ากับ the Institute of Obstetrics & Gynaecology และในปีค.ศ. 1997 ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Imperial College School of Medicine: https://www.imperial.ac.uk/medicine/study/postgraduate/
  22. Keele University: https://www.keele.ac.uk/study/postgraduateresearch/researchareas/medicine/ และ https://www.keele.ac.uk/study/postgraduatestudy/postgraduatecourses/?subject=all
  23. Kent and Medway Medical School ไม่มีหลักสูตร Post Graduate degree in Medicine :https://kmms.ac.uk/
  24. King’s College London: https://www.kcl.ac.uk/lsm/postgraduate King’s College London’s School of Medicine and Dentistry ประกอบด้วย GKT School of Medical Education และ Faculty of Dentistry, Oral & Craniofacial Sciences GKT School of Medical Education คณะแพทยศาสตร์ของ King’s College London ซึ่งมีวิทยาเขตอยู่ที่ Guy’s Hospital, King’s College Hospital และ St Thomas’ Hospital ส่วน Faculty of Dentistry, Oral & Craniofacial Sciences จัดเป็นคณะทันตแพทยศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร
    • Institute of Psychiatry, Psychology & Neuroscience King’s College London จะมีทั้งหลักสูตรPostgraduate Taught และหลักสูตร Postgraduate Research: https://www.kcl.ac.uk/academic-psychiatry/index
    • St John’s Institute of Dermatology จากประวัติตอนแรกตั้งคือ St John’s Hospital for Diseases of the Skin เมื่อผ่านวิกฤตทางการเงินและสงครามโลกครั้งที่ 2 St.John’s Hospital ประกอบด้วยองค์การบริหารที่แตกต่างกัน 2 ส่วน แต่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด ได้แก่ St John’s Hospital for Diseases of the Skin โดยมีคณะผู้ว่าการที่รับผิดชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง และ the Institute of Dermatology ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากสหพันธ์การแพทย์บัณฑิตศึกษาโดยมหาวิทยาลัยลอนดอน โรงพยาบาล St.John’s ได้ย้ายไปที่โรงพยาบาล St. Thomas’s ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 หลังจากนั้นไม่นาน โรงพยาบาล St.John’s ก็ได้รับการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น ” St John’s Institute of Dermatology ” เพื่อรวมทั้ง St John’s Hospital และthe Institute of Dermatology เข้าด้วยกัน: https://www.kcl.ac.uk/bmb/our-departments/st-johns-institute-of-dermatology
  25. University of Leeds: https://medicinehealth.leeds.ac.uk/medicine-masters
  26. University of Leicester: https://le.ac.uk/study/research-degrees/research-subjects/medicine-md
  27. University of Liverpool: https://www.liverpool.ac.uk/medicine/study-with-us/postgraduate/
  28. London School of Hygiene&Tropical Medicine: https://www.lshtm.ac.uk/study/courses/masters-degrees
  29. University of Manchester: https://www.bmh.manchester.ac.uk/study/medicine/masters/
  30. Newcastle University: https://www.ncl.ac.uk/medicine/study/postgraduate/
  31. University of Nottingham, School of Medicine: https://www.nottingham.ac.uk/medicine/study-with-us/postgraduate/postgraduate-taught-courses/index.aspx
  32. University of Nottingham, Lincoln Medical School: https://www.lincoln.ac.uk/medicalschool/
  33. University of Oxford: https://www.ox.ac.uk/search?query=postgraduate%20program%20in%20medicine
  34. Plymouth University: https://www.plymouth.ac.uk/about-us/university-structure/faculties/health/postgraduate-education-for-medicine-and-dentistry
  35. Queen Mary University of London: https://www.qmul.ac.uk/fmd/graduatestudies/programmes/medicine/ คณะแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Queen Mary University of London สร้างขึ้นโดยอิงตามประวัติศาสตร์การศึกษาด้านการแพทย์ของ St. Bartholomew’s Hospital ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1123 และ The London Hospital Medical College ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1785 The Medical College of St Bartholomew’s Hospital และThe London Hospital Medical College ได้รวมกันในปีค.ศ. 1995 เพื่อก่อตั้ง Barts and The London School of Medicine and Dentistry (BLSMD) และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Queen Mary University และ Westfield College, University of London ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า Queen Mary University of London (https://www.qmul.ac.uk/fmd/about/our-history/#:~:text=In%201785%2C%20Sir%20William%20Blizard%20established%20England%27s,Queen%20Mary%27s%20faculty%20of%20Medicine%20and%20Dentistry.)
  36. Queen’s University Belfast: https://www.qub.ac.uk/schools/mdbs/Study/PostgraduateTaught/
  37. University of Sheffield: https://www.sheffield.ac.uk/smph/postgraduate
  38. University of Southampton: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/university-of-southampton-3986
  39. University of St.Andrews: https://www.st-andrews.ac.uk/subjects/medicine/
  40. St.George’s University of London: https://www.sgul.ac.uk/study/postgraduate-study/postgraduate-courses
  41. University of Sunderland: https://www.sunderland.ac.uk/study/medicine/master-medical-education/
  42. Swansea University: https://www.swansea.ac.uk/postgraduate/taught/medicine/
  43. Three Counties Medical School, University of Worcester: https://www.worcester.ac.uk/courses/physician-associate-msc
  44. University of Warwick: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/university-of-warwick-4029
  45. Ulster University: https://www.prospects.ac.uk/browse-courses/medicine-2139/ulster-university-4027
  46. University College London: https://www.ucl.ac.uk/medical-school/study/postgraduate
    • The Institute of Child Health ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1946 โดยศาสตราจารย์ Alan Moncrieff ศาสตราจารย์ Moncrieff ได้รับทุนจากมูลนิธิ Nuffield ให้จัดตั้งภาควิชาสุขภาพเด็ก สถาบันแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นโรงเรียนบัณฑิตศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันและการบำบัดเด็ก (Postgraduate School of Preventive and Therapeutic Paediatrics) ในโรงพยาบาล Great Ormond Street for Children และ the University of London: https://www.ucl.ac.uk/child-health/great-ormond-street-institute-child-health-0
  47. Pears Cumbria School of Medicine ไม่มีหลักสูตร Post Graduate Degree in Medicine แต่มีหลักสูตรแพทย์ร่วมกับ Imperial College: https://www.cumbria.ac.uk/study/the-pears-cumbria-school-of-medicine/

กลุ่มที่ 2 คือ Royal Colleges ต่างๆก็มีหลักสูตร Post Graduate degree in Medicine เปิดสอน Royal Colleges เป็นองค์กรวิชาชีพที่เน้นการฝึกอบรมและพัฒนาความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ โดยให้โอกาสทางการศึกษาแก่แพทย์และทำงานเพื่อปรับปรุงคุณภาพการดูแลสุขภาพ สมาชิกภาพของ Royal Colleges มักเปิดกว้างสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในสาขาของตน Royal Colleges ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมระหว่างประเทศเพื่อปรับปรุงสุขภาพผ่านการฝึกอบรมและการศึกษา Royal Colleges มีทั้งหมด 23 Royal Colleges แต่ละ Royal Colleges จะมีหลักสูตรหลักใหญ่เลยคือ Diploma of Membership ของแต่ละความเชี่ยวชาญ และหลักสูตรชำนาญการใตแต่ละด้านที่ต้องการเชี่ยวชาญ

รายชื่อ Royal Colleges

จากเว็บไซต์ Federation of Surgical Specialty Associations: https://fssa.org.uk/resources/royal_colleges.aspx

  1. Academy of Medical College: Academy of Medical College: ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1974 ในชื่อ Conference of Medical Royal Colleges and their Faculties และเปลี่ยนชื่อเป็น Academy of Medical Royal Colleges ในปีค.ศ .1996 เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประสานงาน Medical Royal Colleges and Faculties ทุกแห่งในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ โดยทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยให้เหมาะสมและปลอดภัย ตลอดจนกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับวิธีการให้การศึกษา ฝึกอบรม และติดตามแพทย์ตลอดอาชีพการงานของพวกเขา ( https://en.wikipedia.org/wiki/Academy_of_Medical_Royal_Colleges) เว็บไซต์ของ Academy of Medical College คือ https://www.aomrc.org.uk/
  2. Royal College of Anaesthetists: https://www.rcoa.ac.uk/about-us/global-partnerships/international-medical-graduates-working-or-training-uk
  3. Royal College of General Practitioners: https://www.rcgp.org.uk/membership/international/international-membership
  4. Royal College of Obstetricians and Gynaecologists: https://www.rcog.org.uk/careers-and-training/exams/drcog-our-diploma-exam/
  5. Royal College of Ophthalmologists: https://www.rcophth.ac.uk/training/ *** Continued Professional Development Courses: https://www.rcophth.ac.uk/events-courses/rcophth-education/professional-development/cpd/ *** Ophthalmic Specialist Training: https://curriculum2024.rcophth.ac.uk/
  6. Royal College of Pathologists: https://www.rcpath.org/discover-pathology/membership/become-a-member.html
  7. Royal College of Paediatrics and Child Health: https://www.rcpch.ac.uk/ ***Diploma in Child Health: https://www.rcpch.ac.uk/education-careers/examinations/about-diploma-child-health
  8. Royal College of Physician of Edinburgh: https://www.rcpe.ac.uk/msc-programmes
  9. Royal College of Physicians of London: https://www.rcp.ac.uk/membership/

***M.Sc in Medical Education: Royal College of Physicians of London

***Diploma in Aviation Medicine: https://www.fom.ac.uk/education/examinations/diplomas/davmed

***Diploma in Global Health: https://www.rcp.ac.uk/events-and-education/education-and-learning/exams-and-assessment/diploma-in-global-health/

***Diploma in Geriatric Medicine: https://www.rcp.ac.uk/events-and-education/education-and-learning/exams-and-assessment/diploma-in-geriatric-medicine/

***Diplomas at the Faculty of Occupational Medicine: https://www.fom.ac.uk/education/examinations/diplomas

10. Royal College of Physicians of Ireland: https://www.rcpi.ie/Learn-and-Develop/Training-Programmes/International/International-Clinical-Fellowship-Programme/Overview

***Diploma in Paediatrics: https://courses.rcpi.ie/product?catalog=Professional-Diploma-in-Paediatrics

***Diploma in Obstetrics and Gynaecology: https://courses.rcpi.ie/product?catalog=Professional-Diploma-in-Obstetrics-and-Gynaecology

***Diploma in Infectious Diseases: https://courses.rcpi.ie/product?catalog=Professional-Diploma-in-Infectious-Diseases

11. Royal College of Physicians and Surgeons of Glasgow: https://rcpsg.ac.uk/physicians/membership

12. Royal College of Psychiatrists: https://www.rcpsych.ac.uk/members/membership/grades-of-membership

13.Royal College of Radiologists: https://www.rcr.ac.uk/career-development/medical-educator-development/postgraduate-certificate-in-medical-education-for-radiology/ และ https://www.dundee.ac.uk/postgraduate/medical-education-radiology

14.Royal College of Surgeons of Edinburgh: https://www.rcsed.ac.uk/education-exams/exams/ceremonies

***Courses for Health Care Professionals: https://www.rcsed.ac.uk/education-exams/courses

15.General Surgery programme of the Edinburgh College: ดูที่เว็บไซต์ของ Royal College of Surgeons in Edinburgh เป็นหลักสูตรปริญญาโท online General Surgery 2 ปี ร่วมกับ University of Edinburgh https://postgraduate.degrees.ed.ac.uk/index.php?r=site/view&edition=2024&id=697

16.Royal College of Surgeons of England: www.rcseng.ac.uk

17.General Surgery programme of the English College: N/A

18.Royal College of Surgeons of Ireland:

***Diploma in Paediatrics: https://www.rcsi.com/dublin/about/faculty-of-medicine-and-health-sciences/academic-departments/paediatrics

***Diploma in Otolaryngology, Head and Neck Surgery: https://www.rcsi.com/surgery/training/surgery/otolaryngology-head-and-neck-surgery/overview

***Diploma in Positive Health: https://www.rcsi.com/online/find-a-course/professional-diploma/p/o/positive-health

19.General Surgery programme of the Irish College: ดูที่เว็บไซต์ของ Royal College of Surgeons in Ireland: https://www.rcsi.com/online/find-a-course?award=masters%2Cprofessional%20diploma%2Cprofessional%20certificate%2Cpostgraduate%20diploma%2Cpostgraduate%20certificate%2Cbridging%20programmes&school=Department%20of%20surgical%20affairs และ https://www.rcsi.com/surgery/training/surgery

20.Royal College of Speech and Language Therapists ไม่มีหลักสูตร Post Graduate in Medicine แต่มีหลักสูตร Continuing Professional development สั้นๆ: https://www.rcslt.org/course-listings/

21.Royal Colleges International Forum ไม่มีหลักสูตร Post Graduate in Medicine

22.Royal Academy of Medicine in Ireland ไม่มีหลักสูตร Post Graduate in Medicine: https://www.rami.ie/membership-criteria/

23.Royal Society of Medicine: https://www.rsm.ac.uk/become-a-member/student-membership/

กลุ่มที่ 3 ไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 และ 2

Copyright © 2010-2024 GoVisa All rights reserved

ว่าด้วยคำว่าหมอโรคกระดูกและข้อที่อเมริกา

คำว่า หมอโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ มีชื่อเรียกหลายอย่าง หลายคนคงสงสัยว่า ต่างกันอย่างไร และเวลาป่วยควรไปหาแพทย์โรคกระดูกและกล้ามเนื้อคนไหน

Chiropractors หรือแพทย์โรคกระดูกสันหลังต้องมีวุฒิการศึกษา Doctor of Chiropractic-DC เบื้องต้นไคโรแพรกเตอร์ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากนั้นเรียนต่อหลักสูตร Doctor of Chiropractic (DC) อีกประมาณ 5-6 ปี ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมด้านไคโรแพรกติก แพทย์โรคกระดูกสันหลัง DC มักใช้มือออกแรงควบคุมข้อต่ออย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ลดอาการปวดและการอักเสบ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดศีรษะ ไคโรแพรกเตอร์จะประเมินร่างกายของผู้ป่วยเพื่อระบุสาเหตุเบื้องหลังของปัญหาสุขภาพ โดยใช้แนวทางที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เพื่อให้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้โดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น เน้นการปรับกระดูกเพื่อแก้ไขการจัดตำแหน่งข้อต่อที่ผิดปกติ การยืดเหยียด และการออกกำลังกาย การลดแรงกดทับเส้นประสาทเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเส้นประสาท พูดง่ายๆ ไคโรแพรกเตอร์เน้นการเยียวยาด้วยธรรมชาติ และมักไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือใช้ยาตามใบสั่งแพทย์อ่านเพิ่มเติม เรียน Chiropractic ศาสตร์จัดกระดูกที่อเมริกา

Othopedist แพทย์โรคกระดูกและข้อ ออร์โธปิดิสต์ ต้องเรียนจบปริญญาตรี 4 ปี เรียนต่อแพทย์ในโรงเรียนแพทย์ (Medical School) อีก 4 ปี และเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้ออีก 5 ปี แพทย์กระดูกและข้อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการวินิจฉัย การรักษา การป้องกัน และการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกในบุคคลทุกวัย ทั้งทางการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกประกอบด้วยกระดูก ข้อต่อ เอ็น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และเส้นประสาท แพทย์กระดูกและข้ออาจแนะนำการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การฟื้นฟูหรือการใช้ยา ก่อนที่จะพิจารณาการผ่าตัด นอกจากนี้ยังอาจทำการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมอาการบาดเจ็บหรือแก้ไขภาวะหากจำเป็น ในแต่ละปี เหตุผลที่พบบ่อยที่สุดที่ผู้คนไปพบแพทย์คืออาการปวดกล้ามเนื้อและโครงกระดูกออร์โธปิดิกส์

แพทย์กระดูกและข้อ ออร์โธปิดิกส์จะใช้เครื่องมือวินิจฉัย เช่น เอกซเรย์ MRI CT scan และการวัดความหนาแน่นของกระดูก รักษาที่อาการมากกว่ารักษาที่สาเหตุของความเจ็บปวด ออร์โธปิดิกส์มีเครื่องมือในการวินิจฉัยโรคและใช้เทคนิคการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปวดและอาการป่วย ออร์โธปิดิกส์ยังสามารถเอ็กซเรย์และตีความเอกซเรย์ได้ สามารถสั่งยาได้

อนึ่ง มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างออร์โธปิดิกส์ (Orthopedist) และศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ (Orthopedic Surgeon) คือ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedic Sugeon) สามารถทำการผ่าตัดได้ ในขณะที่ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) มักจะไม่ทำการผ่าตัด โดยทั่วไป ออร์โธปิดิกส์ จะทำหน้าที่วินิจฉัยและรักษาปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกโดยใช้หลากหลายวิธี เช่น การใส่เฝือกแบบ braces การใส่เฝือกแบบ casts การใส่เฝือกแบบ splints และการรีเซ็ตกระดูก ศัลยแพทย์กระดูกและข้อยังสามารถให้การดูแลก่อนและหลังการผ่าตัด และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังจากการผ่าตัดได้

ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedic Surgeon) จะทำหน้าที่วินิจฉัย รักษา และทำการผ่าตัดปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก ศัลยแพทย์กระดูกและข้อสามารถทำการผ่าตัดได้หลากหลายวิธี เช่น การส่องกล้อง การเปลี่ยนข้อ การยึดกระดูก และการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออ่อน ดังนั้น ศัลยแพทยฺกระดูกและข้อ (Orthopedic surgeon) จะมีความเชี่ยวชาญมากกว่าศัลยแพทย์กระดูกและข้อ (Orthopedist) และมักจะได้รับการปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดที่ซับซ้อนหรือเฉพาะเจาะจงมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้ออาจแนะนำผู้ป่วยให้ไปพบศัลยแพทย์กระดูกและข้อ(Orthopedic Surgeon) หากพบปัญหาที่ต้องใช้วิธีการเฉพาะทางมากกว่า ทั้งแพทย์กระดูก (Orthopedist) และศัลยแพทย์กระดูก (Orthopedic Surgeon) ต่างก็ทำงานในโรงพยาบาลหรือในคลินิกส่วนตัว ทั้งคู่ต่างศึกษาเกี่ยวกับระบบโครงกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างกว้างขวาง และทั้งคู่สามารถวินิจฉัย รักษา ป้องกัน และฟื้นฟูได้

Osteopathic doctors (DO) แพทย์ออสเทโอพาธี (DO) อักษรย่อ DO (ย่อมาจาก Doctor of Osteopathy) แพทย์ออสเทโอพาธีต้องเรียนจบได้ปริญญาเอ็มดี (M.D. หรือพ.บ.หรือแพทย์ศาสตร์บัณฑิต) หรือผ่านการเรียนการฝึกทำนองเดียวกับแพทย์แผนปัจจุบันทั่วไป การเรียนแพทย์แผนออสทีโอพาธีต้องเรียนตามหลักสูตรระดับปริญญาตรี 4 ปี เป็นแพทย์ฝึกหัด 1 ปี จากนั้นจึงเข้าเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์ออสเทโอพาธี (Osteopathic Medical School) อีก 2-6 ปี ในปัจจุบัน สถาบันแพทย์ศาสตร์แนวออสทีโอพาธีที่ตั้งอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกามีอยู่ทั้งหมด 37 แห่ง ( https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_osteopathic_colleges) มีแพทย์แผนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีองค์การที่เป็นตัวแทนอยู่ 2 องค์การ คือ American Osteopathic Association ( https://osteopathic.org/) และ American Academy of Osteopath ( https://www.academyofosteopathy.org/)

หลักสูตรปริญญา ปรัชญา การแพทย์ออสเทโอพาธีใช้แนวทางแบบองค์รวม โดยพิจารณาทั้งร่างกายมากกว่าบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ แพทย์โรคกระดูกสันหลัง DO จะลงมือปฏิบัติจริงมากกว่า โดยใช้วิธียืดและนวดเพื่อจัดการเนื้อเยื่ออ่อน กล้ามเนื้อ และกระดูก คล้ายกับไคโรแพรกเตอร์ จะต่างกันที่ วุฒิการศึกษา วุฒิการศึกษาของออสเทโอพาธีเป็นวุฒิการศึกษาทางการแพทย์ (MD) จึงมีสิทธิทางการแพทย์เช่นเดียวกับแพทย์ทั่วไป รวมถึงมีสิทธิในการสั่งยาได้ ส่วนไคโรแพรกเตอร์ มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขากายภาพบำบัด (Doctor of Chiropractic) และไม่สามารถเขียนใบสั่งยาได้ อีกประการวิธีการรักษาก็ต่างกัน ไคโรแพรกเตอร์มักจะใช้การปรับกระดูกเพื่อแก้ไขข้อต่อที่ผิดปกติ และรักษาเช่นอาการปวดหลังคอร์สหนึ่ง ประมาณ 6 ครั้ง ในขณะที่แพทย์ออสเทโอพาธีมักจะเน้นที่การจัดกระดูกอ่อนด้วยการยืดและนวดมากกว่าและการรักษาตามความจำเป็น นอกจากนี้ แพทย์ออสเทโอพาธีสามารถเอ็กซ์เรย์และตีความเอ็กซ์เรย์ได้ ในขณะที่ไคโรแพรกติกมักจะต้องอาศัยศูนย์การแพทย์หรือศูนย์ตรวจภาพเพื่อสแกนกระดูก

คำว่า “ออสทีโอพาธี” (Osteopathy) มาจากรากศัพท์ในภาษากรีกว่า ออสทีออน (osteon) ที่แปลว่า “กระดูก” และพาธอส (pathos) ซึ่งแปลว่า “ความรู้สึก” ในปี ค.ศ.1874 นายแพทย์แอนดรูว์ เทย์เลอร์ สทิล (Andrew Taylor Still) ได้พัฒนาการแพทย์แผนออสทีโอพาธีขึ้นมา นายแพทย์แอนดรูว์เกิดในปี ค.ศ.1828 ที่รัฐเวอร์จิเนีย มารดาเป็นชาวสก็อตและบิดาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-เยอร์มัน ในช่วงสงครามกลางเมืองเขาได้ทำงานเป็นศัลยแพทย์อยู่ในกองทัพของฝ่ายยูเนียน นายแพทย์สทิลได้ทำงานเป็นหมอดัดกระดูกหรือคนจัดกระดูก (bone setter) มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในปี ค.ศ.1887 ก็ได้เปิดคลินิกขึ้นเป็นการเฉพาะที่เคิร์คสวิล (Kirksvill) รัฐมิสซูรี เขาได้เริ่มสอนศิลปะนี้ให้ลูกชายของเขาทั้ง 4 คน และได้ก่อตั้งสถาบันออสทีโอพาธีของอเมริกันขึ้นมาในปี ค.ศ.1892 ( https://www.academyofosteopathy.org/)

แพทย์แผนออสทีโอพาธี จะรักษาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และรักษาทั้งตัวคน ไม่ใช่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือเฉพาะอาการใดอาการหนึ่ง โดยจะพิจารณาเลยไปถึงภาวะทางอารมณ์ ความคิด จิตใจของคนไข้ รวมทั้งระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกที่สะท้อนและส่งอิทธิพลถึงภาวะของอวัยวะและระบบอื่นๆ ทั้งหมดของร่างกาย และยังมีวิธีในการวินิจฉัยและรักษาโรคบางอย่างที่เกี่ยวกับกระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น เนื้อเยื่อและข้อกระดูกสันหลัง ด้วยการใช้กายภาพบำบัด การนวด และการลูบคลำเบาๆ การนวดตามแบบแผนของออสทีโอพาธิคมี 2 แบบ คือ การบำบัดด้วยการนวดให้ตึงและต่อต้านความตึง (Strain-Counterstrain Therapy) ได้รับการพัฒนาโดยแพทย์กระดูก (OsteopaticPhysician) Lawrence Jones มานานกว่า 40 ปี การบำบัดด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น อาการบาดเจ็บจากกีฬา โรคข้ออักเสบ อาการปวดหัว และอาการปวดคอหรือหลัง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับทุกวัยและอาการเจ็บปวดส่วนใหญ่ กับ การนวดกะโหลกศีรษะ หรือ Cranio Sacral Therapy วิธีนี้อาจช่วยบรรเทาอาการบางอย่างได้ เช่น อาการปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ หรือปวดหลัง มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่ำ การนวดกะโหลกศีรษะและกระดูกสันหลัง (Cranio Scacral Therapy-CST) บางครั้งเรียกอีกอย่างว่า Craniosacral Therapy

Copyright © 2010-2024 GoVisa All rights reserved

เรียน Chiropractic ศาสตร์จัดกระดูกที่อเมริกา

ไคโรแพรกเตอร์ ( Chiropractor) คือผู้ประกอบวิชาชีพบำบัดด้วยศาสตร์ไคโรแพรกติก ที่ได้รับใบอนุญาตซึ่งไคโรแพรกเตอร์จะทำการวินิจฉัยและรักษาอาการผิดปกติทางกลไกของกระดูกสันหลังและข้อต่อ โดยทั่วไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะทำการรักษาโดยใช้วิธีการแบบองค์รวม เช่น การใช้น้ำ การบำบัดด้วยความร้อน อุปกรณ์พยุงร่างกาย และการปรับกระดูกสันหลังด้วยมือ ผู้บำบัดโรคกระดูกสันหลังจะไม่สั่งจ่ายยาหรือทำการผ่าตัด

ไคโรแพรกเตอร์จะต้องเรียนผ่านการเรียนจบปริญญาตรีก่อนและเรียนต่อด้วย Doctor of Chiropractic (D.C.) จากมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยโรคกระดูกและข้อที่ได้รับการรับรองอีก 4 ปี และต้องมีชั่วโมงเรียนขั้นต่ำ 4,200 ชั่วโมง เนิ้อหาที่เรียนประกอบด้วย

  • ปีแรก จะเรียน general anatomy, chiropractic principles biochemistry, and spinal anatomy
  • ปีที่ 2 เรียน chiropractic procedures, pathology, clinical orthopedics, imaging interpretation และ research methods
  • ปีที่ 3 ทำ clinical internships เรียนเกี่ยวกับ integrated chiropractic care, pediatrics, dermatology, practice management และ ethics and jurisprudence
  • ปีที่ 4 ทำ Clinical internships and หมุนเวียนไปฝึกตามโรงพยาบาลหรือคลีนิค

เมื่อสำเร็จการศึกษา Doctor of Chiropractic ผู้สำเร็จการศึกษาจะต้องผ่านการสอบที่มีชื่อเรียกกันว่า National Board of Chiropractic Examiners (NBCE) และ Exams ที่เป็นข้อบังคับของการเป็นไคโรแพรกเตอร์จนได้รับใบอนุญาตเป็นไคโรแพรกเตอร์ในรัฐนั้น ไคโรแพรกเตอร์ไม่ถือว่าเป็นแพทย์เหมือนแพทย์ที่จบจากโรงเรียนแพทย์ แต่อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกาดีกรี Doctor of Chiropractor (DC) ุุุุุถือว่าเทียบเท่ากับดีกรี Doctor of Medicine (MD) เพราะทั้งหลักสูตรของ D.C. และ M.D. ต้องใช้เวลาเรียนและการลงทุนทางการเงินเป็นจำนวนมาก หลักสูตรของ D.C. ประกอบด้วยเวลาเรียนในห้องเรียนอย่างน้อย 4,200 ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับระยะเวลาที่เรียนในโรงเรียน M.D.

แพทย์ คือ แพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตซึ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ที่ได้รับการรับรอง แพทย์ต้องผ่านการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือผ่าน Pre-Med และศึกษาใน Medical school อีกประมาณ4 ปี โดยมีหลักสูตรต่างๆ เช่น พยาธิวิทยา กายวิภาคศาสตร์ ชีวเคมี การแพทย์ เคมี สถิติ และแคลคูลัส เป็นต้น หลังจากเรียนจบได้ Doctor of Medicine(MD) แพทย์จะต้องเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางอีก 3 ปีขึ้นไป ระยะเวลาที่จะใชเ้เรียนขึ้นอยู่กับวิชาที่จะเลือกเป็นผู้เชี่ยวขาญภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า แพทย์คือแพทย์ที่มักจะเชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น โรคหัวใจหรือมะเร็งวิทยา ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทำงานเพื่อส่งเสริม รักษา และฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วย พวกเขาอาจวินิจฉัยโรค รักษาอาการบาดเจ็บ หรือรักษาความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจอื่นๆ แพทย์มักจะสั่งยาและทำการผ่าตัดได้ ซึ่งต่างจากไคโรแพรกเตอร์

จุดที่เหมือนกันระหว่างไคโรแพรกเตอร์และแพทย์ คือ ก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา การศึกษาระดับปริญญาตรีของนักไคโรแพรกติกและแพทย์รุ่นใหม่สามารถเหมือนกันได้ โดยหลักสูตรทั้งสองจะคล้ายกันในช่วง 2 ปีแรก หลักสูตรวิชาการมีความคล้ายคลึงกัน และกายวิภาคศาสตร์ในการเรียนแพทย์ด้านกระดูกก็มีความเข้มงวดพอๆ กับการเรียนไคโรแพรกติก นักศึกษาทั้งสองประเภทยังจะเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อให้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ยิ่งไปกว่านั้น ในการเรียนระดับบัณฑิตศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน หลักสูตรเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าไม่คล้ายคลึงกัน ทั้งในด้านประเภทของวิชาที่เปิดสอนและในเวลาที่จัดสรรให้กับแต่ละหัวข้อ หลักสูตรไคโรแพรกติกและการแพทย์ยังมีจุดร่วมบางประการในสาขาวิทยาศาสตร์ทางคลินิก นอกจากนี้ นักไคโรแพรกติกและแพทย์มีเป้าหมายอาชีพที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ สุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของผู้ป่วย พวกเขาต้องการให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปราศจากความเจ็บปวด และแม้ว่าการใช้คำจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่นักไคโรแพรกติกและแพทย์จะสาบานตนเมื่อสำเร็จการศึกษา โดยอุทิศตนในการฝึกฝนที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่น ช่วยเหลือคนป่วย และบรรเทาความทุกข์ทรมานโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ สีผิว หรือชนชั้นของผู้ป่วย

นอกจากนี้ อาชีพทั้งสองยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลที่ดูแลคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญในสาขาและทำงานเพื่อรักษาคุณภาพและจริยธรรมของการบำบัดด้วยการจัดกระดูกและการดูแลทางการแพทย์ แพทย์ด้านการจัดกระดูกและแพทย์จะต้องได้รับใบอนุญาตตามข้อกำหนดของรัฐและปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพเฉพาะเมื่อให้บริการผู้ป่วย

ส่วนในความแตกต่างกันคือ 2 ปีสุดท้ายของการเรียนในโรงเรียนไคโรแพรกติกจะเน้นที่การจัดกระดูกและวิชาชีวกลศาสตร์ (biomechanics) ซึ่งสอนในคลินิกที่โรงเรียน ในขณะที่ในโรงเรียนแพทย์ มีการหมุน เวียนเรียนทุก 6 สัปดาห์ในสาขาการแพทย์ ได้แก่ ศัลยกรรม กุมารเวชศาสตร์ และสาขาเฉพาะทางอื่นๆ เช่น ผิวหนัง กระดูกและข้อ และรูมาติสซั่ม เป็นต้น

ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดคือ ข้อกำหนดการปฏิบัติทางคลินิก ในทางการแพทย์ แพทย์ที่เพิ่งได้รับใบอนุญาตต้องเข้ารับการฝึกอบรม Residency อย่างน้อย 3 ปี และอาจต้องเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมอีก 5-6 ปี จากนั้นอาจเพิ่มระยะเวลาฝึกอบรม Fellowship อีก 1-3 ปี ในขณะที่ไคโรแพรกเตอร์ที่เพิ่งได้รับใบอนุญาตสามารถเริ่มปฏิบัติงานได้ทันที

ในสหรัฐอเมริกามีคำเรียก Chiropractor ได้หลายอย่าง คือ Doctor of Chiropractic บ้าง Chiropractic Physician บ้าง เพราะถือว่าเป็นแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมให้วินิจฉัยและรักษาความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกและระบบประสาทได้อย่างแม่นยำ และ Chiropractor หรือแพทย์โรคกระดูกและข้อบางคนก็เลือกที่จะเรียนเฉพาะทางในสาขาต่างเพิ่มเติมๆ เช่น ระบบประสาท ออร์โธปิดิกส์ และเวชศาสตร์การกีฬา (https://www.bridgeport.edu/news/chiropractic-vs-medical-school/) งานส่วนใหญ่ของแพทย์โรคกระดูกสันหลังหรือไคโรแพรกเคอร์คือการปรับกระดูกเพื่อรักษาและบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดจากการปวดหลังส่วนล่าง ปวดคอ ปวดหัว อาการที่เกี่ยวข้องกับการเหวี่ยงคอ ปวดเชิงกราน ปวดแขนและไหล่ ปวดขาและสะโพก ในขณะที่แพทย์ด้านกระดูกและข้อ ( Orthopedic Doctor) จะรักษาระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูกทั้งหมด

ไคโรแพรกติกแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือกลุ่ม ” Straights” ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มน้อย เน้นที่พลังชีวิต “สติปัญญาที่ติดตัวมาแต่กำเนิด” และถือว่ากระดูกสันหลังเคลื่อนเป็นสาเหตุของโรคทั้งหมด พวกเขาจะเชื่อในทฤษฎีที่ว่าหากกระดูกสันหลังไม่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะทำให้ระบบประสาทส่วนกลางของร่างกายทำงานผิดปกติ Straight Chiropractic มักจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง ด้วยความเชื่อตามหลักที่ว่าการแก้ไขแนวกระดูกสันหลังสามารถรักษาได้ พวกเขาเชื่อว่าปัญหาสุขภาพหลายอย่างเริ่มต้นจากกระดูกสันหลังที่เคลื่อนซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาท ส่วนอีกกลุ่มเรียกว่ากลุ่ม “Mixer” เป็นกลุ่มที่เปิดรับมุมมองกระแสหลักและเทคนิคทางการแพทย์แบบเดิม เช่น การออกกำลังกาย การนวด และการบำบัดด้วยน้ำแข็ง เป็นต้น กลุ่ม Mixer มักจะผสมผสานวิธีการรักษาแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน พวกเขาใช้แนวทางการรักษาที่แตกต่างกันควบคู่ไปกับการปรับกระดูกสันหลัง แพทย์เหล่านี้มีทัศนคติที่ดีต่อการผสมผสานการรักษาด้วยการจัดกระดูกสันหลังและการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ เข้าด้วยกัน

รายชื่อวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการรับรองจาก National Board of Chiropractic ExaminersNBCE ( https://www.nbce.org/links-to-chiropractic-colleges/)

Copyright © 2010-2024 GoVisa All rights reserved