การขอขยายเวลาวีซ่าเพื่ออยู่ต่อในสหรัฐในสถานะการณ์โควิด 19

วันที่ 15 เมษายน 2563 กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของประเทศสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าทำงานหลังเรียนจบ (H-1B ) สามารถยื่นเรื่องขอขยายเวลาการอยู่ต่อในสหรัฐอเมริกาได้ https://www.uscis.gov/news/alerts/covid-19-delays-extensionchange-status-filings ในช่วงวิกฤตสถานะการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด 19 ที่อาจจะเป็นสาเหตุให้การเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองมีปัญหา อาทิ เช่น การปิดประเทศ สายการบินไม่บินผ่านประเทศตนเอง เป็นต้น การทำเรื่องขอขยายเวลาการอยู่ต่อในสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาการอยู่เกินเวลา (overstay) จากระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติให้อยู่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการอยู่เกินเวลาที่วีซ่ากำหนดอาจส่งผลกระทบทำให้ถูกปฎิเสธวีซ่าได้ หากมีการยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาครั้งต่อๆไป https://economictimes.indiatimes.com/topic/visa-extension ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2563 กล่าวถึงนักศึกษาอินเดียที่ได้วีซ่าทำงานหลังจากเรียนจบในสหรัฐอเมริกา วีซ่าทำงานดังกล่าวเรียกว่า H-1B อินเดียเป็นชนขาติที่ได้รับวีซ่าทำงาน H-1B มากที่สุดในบรรดานักศึกษาต่างชาติ เพราะคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญชำนาญในงานไอทีเป็นพิเศษ แต่ระยะเวลาของวีซ่า H-1B บางคนอาจใกล้เวลาหมดายุ จะต้องเดินทางกลับประเทศของตนเอง บังเอิญช่วงนี้ทั่วโลกประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชิ้อโรคโควิด 19 จึงเกิดปัญหาเหมือนวีซ่าประเภทอื่นๆ คือ วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียนว่า แล้วเราจะอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้อย่างไรโดยไม่ผิดกฎหมายการเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา

คำตอบที่ได้รับคือ ให้ลองขอขยายเวลา หรือการเปลี่ยนสถานะวีซ่า เช่น เปลี่ยนสถานะวีซ่าจากท่องเที่ยวเป็นวีซ่านักเรียน เป็นต้น จะอย่างไรก็ตาม การขอขยายเวลาหรือการเปลี่ยนสถานะวีซ่า ยังคงต้องยึดตามหลักการการยื่นขอ Extension of Stay (EOS) หรือ Change in Status (COS) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกรอกฟอร์มคำร้อง การจ่ายค่าธรรมเนียมในการขอเปลี่ยนแปลงสถานะวีซ่า และระยะเวลาในการรอดำเนินการ ประกอบกับนโยบายการปิดทำงานของหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ ซึ่งก็คงคล้ายคลึงกับในประเทศอื่นๆที่หน่วยงานภาครัฐปิดทำการเป็นบางเวลาที่ผู้นำประกาศออกมา โดยทั่วไปหลังจากผู้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาในการอยู่ต่อ โดยเฉพาะวีซ่า H-1B จะมีผลบังคับใช้การจ้างงานกับนายจ้างคนเดียวกัน ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขเดียวกันของการอนุมัติก่อนหน้านั้น โดยได้รับการขยายเวลาออกไปอย่างอัตโนมัติภายใน 240 วันหลังจากหมดอายุ I-94 เมื่อยื่นคำร้องขอขยายเวลาตรงเวลา ในทางตรงข้าม หากผู้ยื่นคำร้อง หรือ ผู้ยื่นขอขยายเวลาการพักอาศัยหรือเปลี่ยนแปลงสถานะ ยื่นคำขอในแบบฟอร์ม I-129 หรือ I-539 หลังจากระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต USCIS หมดอายุ การพิจารณาตามดุลยพินิจอาจไม่ได้รับการอนุมัติ หรืออาจจะได้รับการพิจารณา เพราะอยู่ในสถานการณ์พิเศษเกินกว่าการควบคุมของผู้ยื่นคำร้อง เช่น สถานะการณ์ COVID-19 แต่อาจจะเกิดการรอคอยที่นาน เพราะเวลาที่ต้องรอจะสอดคล้องกับสถานการณ์ ผู้ยื่นคำร้องหรือผู้สมัครจะต้องส่งหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนคำขอของพวกเขาซึ่ง USCIS จะทำการประเมินเป็นกรณีๆไป The Economics Times เองก็วิเคราะห์ว่า การอนุมัติขยายเวลาดังกล่าวน่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับชาวอินเดียที่มีวีซ่า H-1B มากเป็นอันดับ 1 ในบรรดานักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา

และเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำ Frequently answer question ไว้เพื่อตอบข้อสงสัยผู้ถือวีซ่านักเรียน (F-1) วีซ่าประเภท M-1 และวีซ่า J-1 เว็บไซต์ของ Homeland Security Department คือ https://www.ice.gov/coronavirus หรือจะตรวจสอบจากเว็บไซต์ของสถานศึกษาของตนเอง หรือเว็บไซต์ของหน่วยงาน the National Association of Foreign Student Advisers (NAFSA) : https://www.nafsa.org/regulatory-information/sevp-covid-19-guidance-sources จะมีให้ download เนื้อหาทั้งหมดที่ Homeland Security Department ทำคำถามคำตอบไว้ใน FAQ

คำถามที่น่าสนใจและควรทราบของนักศึกษาต่างชาติ ได้แก่

  • กรณีนักศึกษาต่างชาติเดินทางออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกาเกิน 5 เดือน (The five month temporary absence provision) โดยปกติ นักศึกษาต่างชาติจะต้องขอวีซ่ากลับเข้าสหรัฐอเมริกาใหม่ ในกรณีเหตุการณ์โควิด 19 โรงเรียน วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยได้จัดระบบการเรียนการสอนใหม่เป็นออนไลน์ โดยมีนโยบายรักษาระยะห่างระหว่างกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 นักศึกษาต่างชาติจำนวนหนึ่งเลือกที่จะกลับไปเรียนหนังสือออนไลน์ที่ประเทศของตนเอง ด้วยเหตุผลหอพักปิด ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ผู้ปกครองเป็นห่วงและอีกหลายๆเหตุผล ดังนั้น นักศึกษาก็จะเข้ากฎอยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกาเกินจำนวน 5 เดือน คำตอบในเรื่องนี้คือ ถือว่านักศึกษาต่างชาติที่เลือกไปเรียน Spring Term 2020 online ที่บ้านตนเองยังคงเป็น active student และไม่ต้องยื่นขอวีซ่าใหม่
  • นักศึกษาใหม่ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาเรียนต่อในสหรัฐถือเป็น active student ส่วนนักศึกษาที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียน และยังไม่ได้เดินทางเข้ามาในสหรัฐอเมริกา คำแนะนำคือให้อยู่ที่ประเทศของตนเองไปก่อน
  • กรณีที่นักศึกษาไม่สามารถพักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยได้ ให้ทางมหาวิทยาลัยแจ้งที่อยู่ใหม่ของนักศึกษาเพื่อ update ที่อยู่ใน Sevis ที่อยู่ใหม่อาจจะเป็นที่พักใหม่นอกมหาวิทยาลัยแต่ยังอยู่ในสหรัฐอเมริกา หรือกรณีนักศึกษาเดินทางกลับไปอยู่ที่ประเทศของตนเอง ให้ใช้ที่อยู่ที่บ้านในประเทศของนักศึกษาเองตามความเป็นจริง
  • กรณีนักเรียนที่กำลังเรียนขั้น Grade 12 กลับไปเรียนหลักสูตรออนไลน์ของโรงเรียน ที่นักเรียนเคยเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกาที่ประเทศบ้านเกิดของนักเรียนเอง และต้องการกลับมาเรียนต่อระดับวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ต้องดูด้วยว่า หลักสูตรที่เรียนออนไลน์นั้น ครบถ้วนกระบวนการจบตามหลักสูตรของโรงเรียนมัธยมศึกษาในสหรัฐอเมริกาด้วยหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าว อาจจะเกิดจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในบ้านเกิดของนักศึกษาเอง หริอโรงเรียนไม่สามารถจัดการสอนบางหลักสูตรผ่านออนไลน์ได้ โรงเรียนจะต้องทำ Broadcast message แจ้งในเอกสารของโรงเรียน
  • กรณีการจัดส่งเอกกสารการตอบรับให้นักเรียนที่เรียกว่า I-20 ถ้าไม่สามารถจัดส่งทางไปรษณีย์ ด้วยเหตุผลหน่วยงานในสถานศึกษาปิด หรือการระงับเที่ยวบินเข้าประเทศนั้นๆ หรือ ประเทศนั้นๆมีคำสั่งปิดประเทศ ไม่มีการเดินทางโดยเครื่องบินระหว่างประเทศ ให้สถานศึกษาจัดส่ง I-20 ทางอีเมล์ได้ และถ้าเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสามารถจัดส่งผ่านอีเมล์ผู้ปกครองได้ โดยสถานศึกษาจะแสกน I-20 และเซ็นต์ชื่อแบบอิเล็กทรอนิกส์จัดส่งเข้าอีเมล์ของนักศึกษา
  • หลักสูตรที่เรียนในช่วงโควิด 19 เป็นหลักสูตรออนไลน์ทั้งหมด แต่บางหลักสูตรไม่สามารถเปิดสอนเป็นออนไลน์ได้ ให้ทางสถานศึกษาแจ้งขอยกเว้นเป็น Broadcast messages อันเนื่องมาจากผลกระทบของสถานะการณ์โควิด 19
  • กรณีนักศึกษาอยู่ในช่วงฝึกงานแบบ CPT นักศึกษาสามารถขอฝึกงานในประเทศบ้านเกิดของตนเองได้
  • ในกรณีนักศึกษาที่อยู่ในช่วงเวลาของการขอ OPT เพื่อฝึกงานหลังเรียนจบตามนโยบายที่ประเทศสหรัฐฯอนุญาตให้นักศึกษาทำงานได้หลังจากเรียนจบ ให้นักศึกษาหมั่นติดตามข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย หรือเว็บไซต์ของ Homeland Security Department เพราะนักศึกษาอาจจะเผชิญกับปัญหาหลากหลายแบบ อาทิ เช่น การยกเลิกการจ้างงานกระทันหัน นักศึกษาจะทำงานออนไลน์แทนได้หรือไม่ ฯลฯ
  • หากสถานะการณ์โควิด 19 สิ้นสุดลง นักศึกษาจะเดินทางกลับเข้าไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา ยังคงใชเกฎเดิม คือเดินทางเข้าประเทศได้ไม่เกิน 30 วันของการเปิดเรียนที่สถานศึกษานั้นๆ
  • สำหรับกฎของนักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาจบแล้วจะมีระยะเวลาการเตรียมตัวในการเดินทางกลับบ้านเกิดตนเอง 60 วัน ( 60 day grace period for F-1 visa และ 30 day grace period for J-1 visa) แต่นักศึกษาต่างชาติอาจพบปัญหาเรื่องสายการบินระงับเที่ยวบิน หรือประเทศบ้านเกิด lockdown ให้นักศึกษาปรึกษาเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยที่กำลังศึกษาอยู่ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา เช่น ลงเรียนหลักสูตรออนไลน์อื่นๆแทน ระหว่างการรอกลับบ้านเกิดตนเอง หรือกรอกฟอร์มขอขยายเวลาอยู่ต่อในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่อง case by case ว่าจะใช้เวลานานเท่าไรในการได้รับอนุมัติ
  • เว็บไซต์ Voice of America ได้มีการพูดถึงปัญหาคนไทยที่ตกค้างอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยระงับเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้าประเทศไทย และความเดือดร้อนของนักศึกษาที่ไปศึกษาและไปฝึกงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยมีข่าวหนึ่งที่น่าในใจเกี่ยวกับการขอขยายเวลาอยู่ต่อในสหรัฐอเมริกา https://www.voathai.com/a/covid19-thai-immigration-lawyer-/5366664.html ซึ่งอาจจะเป็นคำแนะนำที่พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ขอให้ลองศึกษาจากเว็บไซต์ Voice of America
  • กรณีวีซ่านักเรียนที่ต้องขอขยายระยะเวลาของวีซ่าให้ยาวออกไป ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศตนเองได้นั้น นักศึกษาต้องกรอกฟอร์ม I-539 และยื่นไปที่ USCIS อย่างน้อย 15 วัน แต่ต้องไม่เกิน 60 วันก่อนวันสุดท้ายของการจบหลักสูตรการเรียน ศึกษาเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.uscis.gov/i539online บางมหาวิทยาลัยทำสมมติฐานเป็นฉาก ให้นักศึกษาลองอ่านและเลือกวิธีที่นักศึกษาเห็นว่าเหมาะสมกับเคสของตนเอง เช่น University of Michigan กล่าวถึงทางเลือกในการแก้ไขปัญหาของนักศึกษาจีนที่ไม่สามารถเดินทางกลับจีนได้ https://internationalcenter.umich.edu/covid-19-travel-update

บล็อกนี้คงไม่สามารถแปลทุกข้อความที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของ Homeland Security Department ได้ เพียงยกตัวอย่างมาให้อ่าน พิจารณา และเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาขอให้นักศึกษาไทยทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยดี

Copyright © 2010-2020 GoVisaEdu All rights reserved

ประกาศขึ้นราคาค่าธรรมเนียมวีซ่าไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ( Homeland Security Department) ได้มีประกาศขึ้นราคาค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียนประเภท F, M และ J เพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป https://www.ice.gov/news/releases/new-increased-fees-international-students-exchange-visitors-sevp-certified-schools

หรือจากเว็บไซต์ https://studyinthestates.dhs.gov/2019/05/sevp-announces-changes-to-program-fees

ค่าธรรมเนียมวีซ่าประเภท F และ M จะขึ้นราคา150 ดอลล่าร์สหรัฐจากราคาเดิม 200 ดอลล่าร์สหรัฐ รวมเป็น 350 ดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่วีซ่าประเภท J จะไม่ได้ขึ้นราคาทุกประเภทของกลุ่มวีซ่า J ได้แก่ วีซ่า J ที่ไปทำงาน Work and Travel, ผู้ไปทำงานเลี้ยงเด็ก Aupair, หรือผู้ไปทำงานเป็น Camp Counselor ยังคงใข้ราคาเดิมคือ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่ผู้ที่ได้รับทุนไปเรียนและจะต้องยื่นวีซ่าประเภท J จะต้องใช้อัตราค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียนใหม่จากราคาเดิม 180 ดอลล่าร์สหรัฐเป็น 220 ดอลล่าร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 40 ดอลล่าร์สหรัฐ

การปรับราคาใหม่นี้ ได้รวมไปถึงสถาบันการศึกษาที่มีสิทธิ์ในการออกจดหมายตอบรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาต่อด้วย โดยสถาบันเหล่านั้นจะต้องชำระค่าธรรมเนียมในการที่จะได้รับสิทธิ์เป็น SEVP Certified Schools เพิ่มขึ้นจากราคาเดิม 1,700 ดอลล่าร์สหรัฐเป็น 3,000 ดอลล่าร์สหรัฐ

หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลนักศึกษาต่างชาติ (Office of International Student) ของโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่างๆในสหรัฐฯ ได้ประกาศการปรับค่าธรรมเนียมวีซ่านักเรียนต่างชาติใหม่บนเว็บไซต์ของสถาบันตน เพื่อให้นักศึกษาต่างชาติได้ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าได้ถูกต้องก่อนไปยื่นขอวีซ่า ตัวอย่างเช่น Brown University: https://www.brown.edu/about/administration/international-student-and-scholar-services/students/newly-admitted-students/sevis-fee

Office of International Student ของ Pace University : https://www.pace.edu/iss/welcome-to-pace/prepare-for-your-entry

Copyright © 2010-2019 GoVisaEdu All rights reserved.

วิธีการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าสหรัฐอเมริกา

วิธีการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกา สามารถทำได้ 2 วิธี โดยผู้ยื่นขอวีซ่าเป็นผู้ตัดสินใจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่วิธีที่สะดวกและเป็นที่นิยมกันมากคือ วิธีการชำระเป็นเงินสดผ่านธนาคารศรีอยุธยา การชำระเงินทั้ง 2 ประเภทมีดังนี้ คืิอ

1. การชำระเงินด้วยวิธีการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ – Electronic Funds Transfer (EFT)

จากเว็บไซต์ของ ustraveldocs: http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-paymentinfo.asp  ได้ชี้แจงวิธีการโอนเงินแบบ EFT ไว้ว่า ” ผู้สมัครสามารถชำระค่าธรรมเนียมยื่นคำร้องขอวีซ่าชั่วคราวด้วยการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) โดยตรงจากบัญชีธนาคารของท่าน ซึ่งธนาคารเจ้าของบัญชีของผู้สมัคร อาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์นี้ด้วย ”

หลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่าวิธีการโอนเงินแบบ Electronic Funds Transfer คืออะไร การโอนเงินแบบ Electronoic Funds Transfer สามารถทำได้หลายวิธี  ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้คำนิยามความหมายของวิธีการโอนเงินแบบ EFT ไว้ว่า หากเป็นการโอนเงิน ณ จุดชำระค่าสินค้าหรือ Electronic Funds Transfer at Point of Sale หมายถึง ระบบการชำระเงินค่าสินค้า ณ จุดขาย โดยใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต บัตรเงินสดผ่านทางเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ตั้งอยู่ ณ ร้านค้า โดยหักเงินค่าสินค้าและบริการจากบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตร และโอนเข้าบัญชีของร้านค้า ( http://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/Others/PSFAQ/Pages/FAQ_NewMedia.aspx ) ธนาคารบางแห่งเรียกการโอนเงินผ่านตู้ ATM ว่า เป็นการโอนเงินผ่านระบบ EFT บางแห่งการโอนเงินผ่านธนาคารทางอินเทอร์เน็ตก็หมายถึงการโอนเงินแบบ EFT ได้เหมือนกัน

เงื่อนไขในการชำระเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าของสหัฐอเมริการะบุไว้ว่า ให้ทำการโอนเงินแบบ ACH Transfer-SMART ไปยังธนาคารชื่อ Bank of America N.A. , Bangkok Branch และให้ชำระเป็นเงินบาทเท่านั้นรายละเอียดในการโอนเงินให้ Swift Code และ Bank Sort Code มาดังนี้คือ

ธนาคารผู้รับเงิน: Bank of America N.A., Bangkok Branch

SWIFT CODE: BOFATH2X

Bank Sort Code: 0270001

หากผู้โอนเงินไม่เข้าใจวิธีการโอนเงินแบบ EFT นี้ให้ไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ธนาคารด้านการโอนเงินพร้อมสอบถามราคาค่าธรรมเนียมในการโอนเงินประเภทนี้ เนื่องจากเป็นการโอนเงินในประเทศไทยกับธนาคาร Bank of America ที่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย ค่าธรรมเนียมจะไม่สูงมากเหมือนโอนเงินไปยังธนาคารในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามบล็อกนี้ ขอแนะนำการชำระค่าธรรมเนียมด้วยเงินสดผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยามากกว่า เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน และใช้เวลารอการจองวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าเพียงวันเดียวเท่านั้น โดยมีข้อแม้ว่า วันรุ่งขึ้นหลังการจ่ายเงินแล้วนั้นจะต้องไม่ตรงกับวันหยุดหรือวันหยุดตามนักขัตฤกษ์ทั้งของไทยและของสหรัฐอเมริกา ผู้ยื่นขอวีซ่าสามารถเลือกทำการนัดหมายวันสัมภาษณ์ได้หลังเที่ยง หากเป็นการชำระเงินด้วยวิธีการโอนเงินแบบ EFT มีเงื่อนไขว่าต้องโอนเงินก่อนหน้าเวลาบ่ายสองโมง และต้องรอนานสองวันจึงจะนัดวันสัมภาษณ์ได้หลังเที่ยงไปแล้ว

อนึ่ง ถ้าผู้โอนเงินตกลงมีบัญชีที่สามารถโอนเงินเองได้ผ่านธนาคารทางอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว ให้ใส่รายละเอียดการโอนเงินตามที่สถานทูตสหรัฐอเมริกากำหนดไว้ และอย่าลืมหักค่าธรรมเนียมของการโอนเงินทางอินเทอร์เน็ตที่ตนเองมีด้วย เพื่อให้ผู้รับเงินปลายทางได้รับเงินโอนเต็มตามจำนวน

2. การชำระเป็นเงินสดผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ให้ผู้ยื่นขอวีซ่านำใบแนะนำการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าสหรัฐฯ และ ใบนำฝากเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ทั้งสองรายการไปชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ข้อดีข้อเสียหรือความแตกต่างระหว่างการชำระด้วยวิธีการโอนเงินแบบ EFT และการชำระด้วยเงินสด

  1. การชำระเงินด้วยวิธีการโอนเงินแบบ EFT อาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระเงิน (reciprocity fee) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญชาติและประเภทวีซ่าของผู้ยื่นขอวีซ่า
  2. การโอนไปยังธนาคารค่างประเทศ คือ ธนาคาร Bank of America อาจมีการเรียกเก็บค่าบริการในการโอนเงินจากธนาคารในประเทศไทยที่ผู้ที่ต้องการโอนเงินไปขอให้โอนเงิน
  3. ธนาคารรับบริการโอนเงินเพื่อชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าได้ถึงเวลา 14.00 น. เท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าเวลาปกตอในการรับโอนเงินไปต่างประเทศรายการประเภทอื่นๆ
  4. การโอนเงินแบบ EFT ไม่สามารถโอนเงินได้ในวันเสารฺอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
  5. กำหนดเวลานัดหมายในการจองวันนัดสัมภาษณ์วีซ่าเมื่อได้โอนเงินแบบ EFT ไปแล้วคือ 2 วันถัดไปหลังเวลาเที่ยงตรง ไม่นับรวมวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดของสถานทูต
  6. การชำระด้วยเงินสดที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาไม่มีค่าธรรมเนียมในการชำระเงิน
  7. กำหนดเวลานัดหมายในการจองวันนัดสัมภาษณ์วีซ่า เมื่อได้ชำระเงินสดที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาไปแล้ว คือ ในวันถัดไปหรือวันรุ่งขึ้นไปแล้วหลังเวลาเที่ยงตรง ไม่นับรวมวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดของสถานทูต

 

 

Copyright © 2010-2014 GoVisa All rights reserved.