หลักสูตรทางกฎหมายที่เปืดสอนในสหรัฐอเมริกาแบ่งตามปริญญาออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
หลักสูตรพื้นฐานหรือหลักสูตร Standard
ปริญญาที่จะได้รับจะเป็นปริญญาเชิงวิชาชีพคือ Juris Doctor หรือ J.D. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Doctor of Jurisprudence เป็นปริญญาแรกและเป็นปริญญาหลักทางกฎหมายชองสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครเรียนหลักสูตร J.D. นี้ต้องสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อน เช่น จบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ หรือจบปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ หลักสูตร J.D. ใช้เวลาในการเรียนนาน 3 ปี ดูตัวอย่างหลักสูตร J.D. ของมหาวิทยาลัย Columbia : https://www.law.columbia.edu/academics/jd-program-and-curriculum
- ในปีแรก (1L) จะเป็นการเรียนวืชาบังคับประมาณ 7-8 วิชา ได้แก่ วิชาสัญญา (Contracts) ,วิชาละเมิด (Torts), วิชาทรัพย์ (Property), กฎหมายอาญา (Criminal Law), วิธีพิจารณาความแพ่ง (Civil Procedure), วิขาการวิจัยค้นคว้ากฎหมาย, วิชากฎหมายและระเบียบข้อบังคับ (Legislation and Regulation) และ กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional law) เป็นต้น นอกจากนี้ นักศึกษาในชั้นปีที่ 1 ยังต้องเรียนรู้ 3 สิ่งต่อไปนี้คือ
- การเขียนและการโต้แย้ง จะมีการกำหนดให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนบทสรุปทางกฎหมายและโต้แย้งคดีด้วยวาจาต่อหน้าคณะกรรมการ ผู้พิพากษา ใน Foundation Year Moot Court นักศึกษายังสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน Moot Court ที่ได้รับการอนุมัติในสาขาเฉพาะทาง เช่น ทรัพย์สินระหว่างประเทศหรือทรัพย์สินทางปัญญา
- รู้จักวิธีการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับระบบกฎหมายและการวิเคราะห์กรณีศึกษาอย่างละเอียดในวิชา Legal Methods I และ II
- เรียนรู้การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านกฎหมาย I และ II: ในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง นักศึกษาจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นในด้านการวิจัย การเขียน และทักษะการวิเคราะห์ที่จำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายผ่านการมอบหมายงานเป็นลายลักษณ์อักษรที่อยู่ในบริบทของการปฏิบัติ การอภิปรายสัมมนา และการประชุมส่วนตัว และในช่วงภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ จะเน้เรื่องการสนับสนุนการอุทธรณ์ นักศึกษาจะต้องค้นคว้า เขียน และโต้แย้งสรุปการอุทธรณ์ผ่านโครงการ Moot Court หรือผ่านการแข่งขัน Moot Court อื่นๆ

- ในปีที่ 2 (2L) และในปีที่ 3(3L) นักศึกษาจะได้ต่อยอดทักษะและความรู้ที่ได้รับในหลักสูตร 1L โดยลงทะเบียนเลือกเรียนวิชาที่เน้นด้านกฎหมายหลาๆยด้าน เช่น หลักสูตร สัมมนา และคลินิกเกี่ยวกับกฎหมายการค้า กฎหมายองค์กร กฎหมายเกี่ยวกับเพศและเพศวิถี การดูแลสุขภาพ สิทธิมนุษยชน ประวัติทางกฎหมาย ประวัติศาสตร์ระดับชาติ ความยุติธรรมทางสังคม ภาษี และอื่นๆ วิชาเหล่านั้นจะสอนให้นักศึกษารู้จักเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆและตกผลึกเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพและรู้จักการแก้ไขปัญหาในสถานะการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ https://www.law.columbia.edu/academics/jd-program-and-curriculum
สำหรับผู้สนใจจะไปศึกษา J.D. Program แนะนำให้ลองหาภาพยนต์เรื่อง Paper Chase ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือที่แต่งโดย John Osborn, Jr มาชมกัน Paper Chase เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนักศึกษาวิชากฎหมายปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย Harvard แม้ว่าในยุคปัจจุบันจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่นักศึกษาต้องมีและต้องทำให้ได้คือ การเตรียมอ่านหนังสือมาก่อนเข้าห้องเรียน และต้องกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นออกมาให้ขัดเจน ต้องรู้จักการคิดและวิเคราะห์และต้องขยันอย่างมากในการเรียนวิชากฎหมาย
นักศึกษาต้องพยายามเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิชากฎหมาย ตัวอย่างการแข่งขันรอบสุดท้ายของ Moot Court ของนักศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ในปี 2019
หลักสูตร Advanced Degree หรือ Post-J.D.Degrees
จะแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตรใหญ่ๆคือ
- ปริญญาโทด้านกฎหมายที่เรียกว่า Master of Laws หรือ LL.M. และ master of Comparative Law หรือ M.C.L. หลักสูตรปริญญาโทในสหรัฐอเมริกาจะใช้เวลาในการเรียนนาน 1 ปีการศึกษาหรือประมาณ 9 เดือน ผู้เรียนมักเป็นนักศึกษาต่างชาติมากกว่านักศึกษาอเมริกัน นักศึกษาอเมริกันส่วนใหญ่จะเรียน J.D. หรือ Juris Doctor ซึ่งใช้เวลาในการเรียนรวมทั้งหมด 7 ปีคือ ปริญญาตรี 4 ปีบวกกับ J.D. อีก 3 ปี ช่วงเรียน หลักสูตร J.D. จะเรียนประมาณ 83 หน่วยกิต หลังเรียนจบ J.D. นักศึกษาอเมริกันมักจะออกไปหางานทำ สำหรับนักศึกษาที่เลือกลงทะเบียนเรียนหลักสูตรปริญญาโท LL.M. หรือ M.C.L.จะเรียนประมาณ 16-30 หน่วยกิต หรือเทอมละปะมาณ 3-4 วิชา เนื้อหาที่เรียนในระดับปริญญาโทมักจะมีวิชาบังคับประมาณ 3-4 วิชาและวิชาเลือกที่ต้องการเน้นความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเช่น Criminal Law, Intellectual Property และอื่นๆ เป็นต้น บางมหาวิทยาลัยอาจจะกำหนดให้นักศึกษาเขียนวิทยานิพนธ์ก่อนจบปริญญาโท หรือบางมหาวิทยาลัยอาจจะมีให้เลือกสอบจบ หรือเรียกว่า Comprehensive Examination หรือ non-thesis LL.M. เช่น หลักสูตรของมหาวิทยาลัย Indiana-Bloomington https://www.iu.edu/degrees/bloomington/llm-in-law/461/index.ht

ตัวอย่างหมวดวิชาให้เลือกความเชี่ยวชาญของนักศึกษา LL.M.ที่มหาวิทยาลัย Indiana-Bloomington https://law.indiana.edu/academics/graduate-degrees/specializations/index.html

- ปริญญาเอก S.J.D. หรือ J.S.D.( The Doctor of Juridical Science (S.J.D.)) นอกจากนี้ยังมี Doctor of Comparative Law การศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมายจะเน้นเรื่องการทำวิจัย และเขียนออกมาเป็นวิทยานิพนธ์ (Dissertation)
วิธีการสอนกฎหมายในสหรัฐอเมริกา
จะใช้วิธีการศึกษาแบบคดีศึกษา(case study) หรือวิธีแบบโซคราติส (Socratis Method) เพื่อฝึกให้นักศึกษามีทักษะในการคิดวิเคราะห์กฎหมาย วิธีการแบบโซคราติสจะสอนให้รู้จักการโต้แย้งถกเถียงกันในชั้นเรียน โดยมีหนังสือรวบรวมคดีที่คัดเลือกมาให้นักศึกษาฝึกการคิดวิเคราะห์ คดีส่วนใหญ่มักจะเป็นคดีในศาลระดับสูง อาจารย์จะพยายามตั้งคำถามและให้นักศึกษาตอบเพื่อจะได้ข่วยกันมองให้เห็นปัญหาและหาข้อสรุป นักศึกษาจึงต้องอ่านคดีต่างๆตามที่อาจารย์สั่งมาก่อนเข้าชั้นเรียน อาจารย์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในคดีใหม่ เพื่อให้นักศึกษาวิเคราะห์ว่า ผลของคดีควรจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การศึกษาแบบโซคราติสอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างในปัจจุบัน เช่น เพิ่มวิธีการสอนแบบมีการปฎิบัติด้วย (Clinical Method) นักเรียนต่างชาติที่เลือกจะไปศึกษาวิชากฎหมายในสหรัฐอเมริกาจึงต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่แข็งแรง เพื่ออ่านคดีให้ได้มากที่สุด และอ่านให้เร็ว วิเคราะห์ให้เป็น แยกแยะให้ออกว่าสิ่งใดที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง สามารถคิดอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนให้มาก
ในการส่งสมัครเรียนต่อปริญญาโททางกฎหมายที่สหรัฐอเมริกา ผู้สมัครสามารถสมัครผ่านองค์กรกลางคือ LSAC ( The Law School Admission Council) ได้ หรือศึกษาเพิ่มเติมภายใต้หัวข้อเรื่อง การเรียนต่อปริญญ่โทกฎหมายในสหรัฐอเมริกา
Copyright © 2010-2022 GoVisaEdu All rights reserved