การศึกษาต่อวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบินในสหรัฐอเมริกา

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Aerospace Engineering, Aeronautical Engineering, Astronautical Engineering กันมาบ้างแล้ว และคงสงสัยว่า เรียนเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร และคนที่จะขับเครื่องบินต้องเรียนจบ Aerospace หรือ Aeronautical Engineering หรือไม่ หรือว่าคนที่เรียนด้าน Aerospace หรือ Aeronautical Engineering ขับเครื่องบินเป็นกันทุกคนไหม คำถามนี้คงจะคล้ายกับคำถามของบางคนที่มีลูกจบวิศวะไฟฟ้าแต่ซ่อมอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าในบ้านให้ไม่ได้ หรือทำไมคนจบวิศวะเครื่องกลแล้วช่วยซ่อมแอร์ในบ้านให้ไม่ได้ เรามาทำความรู้จักกับคำว่า Aeronautical Engineering, Aerospace Engineering Astronautical Engineering กันก่อน (นิยามของ 3 คำศัพท์นี้ได้มาจาก https://engineeringonline.ucr.edu/blog/aeronautical-engineer-vs-aerospace-engineer/)

Aeronautical Engineering คือ วิศวกรรมการบินมุ่งเน้นไปที่การออกแบบ การสร้างต้นแบบ การผลิต และการทดสอบเครื่องจักรทุกประเภทที่สามารถบินได้ในชั้นบรรยากาศของโลก ตั้งแต่เครื่องบินพาณิชย์และโดรนไปจนถึงเรือบินและเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพ วิศวกรรมการบินคือ การผสมผสานวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์และอากาศพลศาสตร์ เข้ากับทักษะการออกแบบเครื่องกลไฟฟ้าและเทคโนโลยีเพื่อสร้างต้นแบบ ระบบขับเคลื่อน และวัสดุก่อสร้างสำหรับเครื่องบิน ระบบที่วิศวกรออกแบบและสร้างขึ้นมาจะทำงานได้ตามที่ควรจะเป็นโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หลักการทางวิศวกรรม และการทดสอบ วิศวกรรมการบินยังเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการบินและการทำงานกับปีกตามหลักอากาศพลศาสตร์ ในส่วนหนึ่งของกระบวนการทางวิศวกรรม วิศวกรการบินได้รวมเอาองค์ประกอบต่างๆ เช่น การวิเคราะห์งบประมาณ เพื่อลดต้นทุนที่มากเกินไป ซึ่งในการออกแบบเครื่องบินสามารถลดต้นทุนได้หลายล้านดอลลาร์ วิศวกรการบินยังต้องติดตามและปฏิบัติตามแนวทางด้านความปลอดภัยที่ออกโดยสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับสาขาวิศวกรรมอื่นๆ การแก้ปัญหาถือเป็นหัวใจสำคัญของบทบาทวิศวกรรมการบิน ตัวอย่างเช่น วิศวกรการบินอาจได้รับมอบหมายให้สร้างการออกแบบที่ทำให้ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสมดุลกับสมรรถนะ เป็นต้น

Aerospace Engineering หรือ วิศวกรรมการบินและอวกาศ จะศึกษาเรื่องการออกแบบ การสร้างต้นแบบ การผลิต และการทดสอบระบบเครื่องบินที่บินในชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลกและที่อื่นๆ ซึ่งรวมถึงจรวด ขีปนาวุธ และดาวเทียม เช่นเดียวกับวิศวกรการบิน วิศวกรการบินและอวกาศจะผสมผสานความรู้เกี่ยวกับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หลักการทางวิศวกรรม และกระบวนการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบที่ออกแบบและสร้างทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย วิศวกรการบินและอวกาศจึงมุ่งเน้นไปที่พื้นที่เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบินและอวกาศ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจเชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อนด้วยไอพ่น แรงที่ขับเคลื่อนวัตถุเช่นจรวดให้ไปในทิศทางเดียว ซึ่งเกิดจากการพ่นกระแส (หรือไอพ่น) ของของไหลในทิศทางตรงกันข้าม ความเชี่ยวชาญอีกประการหนึ่งคือ อากาศพลศาสตร์ การศึกษาการเคลื่อนที่ของอากาศรอบๆวัตถุ เช่น ปีก ในกระบวนการทางวิศวกรรม วิศวกรการบินและอวกาศจะใช้ความเข้าใจในการออกแบบโครงสร้าง อุปกรณ์นำทาง หุ่นยนต์ และการเผาไหม้ในการทำงานในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมักหมายถึง การทำงานร่วมกับวิศวกรแผนกอื่นๆ รวมถึงวิศวกรไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ และระบบ ซึ่งใช้ทักษะในการออกแบบเครื่องบิน ยานอวกาศ และจรวด

Astronautical Engineering เป็นอีกสาขาหนึ่งของวิศวกรรมการบินและอวกาศ ที่จะมุ่งเน้นไปที่งานฝีมือที่ตั้งใจจะแสดงเฉพาะในอวกาศเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างวิศวกรรมการบินและวิศวกรรมการบินและอวกาศ คือ วิศวกรการบินมุ่งเน้นไปที่การบินในชั้นบรรยากาศ ในขณะที่วิศวกรการบินและอวกาศมุ่งเน้นไปที่ทั้งการบินในอวกาศและในชั้นบรรยากาศ ความแตกต่างนี้จะเห็นได้จากในการศึกษาของวิศวกร หัวข้อทั่วไปที่ครอบคลุมในหลักสูตรวิศวกรรมการบิน ได้แก่ การศึกษาอุณหพลศาสตร์ การถ่ายเทความร้อน โครงสร้างเครื่องบิน และการควบคุมทางกลและเสถียรภาพ หลักสูตรวิศวกรรมการบินและอวกาศ จะขยายหัวข้อเหล่านี้ออกไปเพื่อศึกษาผลกระทบของเครื่องบินที่บินนอกชั้นบรรยากาศ รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยไอพ่น การออกแบบยานอวกาศ และกลศาสตร์วงโคจร สำหรับความเหมือนหรือความคล้ายคลึงกันของศาสตร์ทั้งสามนี้ คือ ความรู้เกี่ยวกับการจัดการโครงการ ( Project Management) ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่างานจะเสร็จสิ้นตรงเวลา มีการจัดการต้นทุน และการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มวิศวกรรมสายต่างๆที่เป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตามผู้ที่เรียนจบ Aeronautical Engineering, Aerospace Engineering และ Astronautical Engineering ไม่สามารถขับเครื่องบินพาณิชย์ได้จนกว่าจะผ่านหลักสูตรการบินตามจำนวนชั่วโมงที่ FAA กำหนดและได้รับ license เสียก่อน

เมื่อทราบความหมายของวิศวกรรมการบินทั้ง 3 ประเภทแล้ว ก็คงอยากรู้กันว่า ถ้าต้องการขับเครื่องบินได้ ต้องเรียนให้จบวิศวกรรมการบินด้วยหรือไม่ คำตอบคือไม่จำเป็น เพราะผู้ที่ต้องการขับเครื่องบินประเภทต่างๆได้ ต้องเข้าเรียนหลักสูตรการบินที่มีเปิดสอนอยู่ตามโรงเรียนการบิน หรือวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย และเพื่อให้ได้ออกไปประกอบอาชีพนักบินตามที่ฝัน ผู้เรียนต้องผ่านการทดสอบให้ได้ใบประกอบวิชาชีพการบินเฉพาะทาง อาชีพนักบินนอกจากเป็นความฝันของใครหลายคนแล้ว ยังเป็นอาชีพที่มีความต้องการในแวดวงการบินสูงอีกด้วย ในหน้าเว็บไซต์ของ California Flight Academy มีการพูดถึงความต้องการนักบินที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของบริษัทโบอิ้ง ทั่วโลกจะต้องมีนักบินเพิ่มอีก 617,000 คนตั้งแต่ปี 2559 ถึงปี 2578 โบอิ้งกล่าวไว้ว่า “ในอีก 20 ปีข้างหน้า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นผู้นำในการเติบโตของความต้องการนักบินทั่วโลก โดยมีความต้องการนักบินใหม่ 248,000 คน อเมริกาเหนือจะต้องการ 112,000 แห่ง ยุโรป 104,000 แห่ง ตะวันออกกลาง 58,000 แห่ง ละตินอเมริกา 51,000 แห่ง เครือรัฐเอกราช (CIS) / รัสเซีย 22,000 แห่ง และแอฟริกา 22,000 แห่ง ” https://flycfa.com/lp/thailand-eng/?utm_campaign=Thailand_Eng_SRC&lstid=Google&network=g&creative=631089145918&keyword=commercial%20pilot%20license&matchtype=b&placement=&random=7402857383929431552&geotarget=Mexico&location=1012728&device=c&device_model=

การขับเครื่องบินในสหรัฐฯ คุณต้องมีอายุอย่างน้อย 17 ปี มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดี ผ่านการทดสอบทางกายภาพและการทดสอบการบิน และปฏิบัติตามชั่วโมงบินตามที่ FAA กำหนด ไม่จำเป็นต้องสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยก็สามารถเป็นนักบินได้ แต่หากความฝันที่จะได้ขับเครื่องบินให้กับสายการบินรายใหญ่ เช่น United Airlines, Northwest, Delta ปริญญาอาจทำให้คุณได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โรงเรียนการบินและหลักสูตรปริญญาการบินเป็นทั้งทางเลือกที่เป็นไปได้ ที่งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายส่วนตัว งบประมาณ และวิธีการเรียนรู้ที่คุณต้องการ โรงเรียนการบินเสนอแนวทางที่มุ่งเน้นและปฏิบัติได้จริง ในขณะที่หลักสูตรการบินจะให้ประสบการณ์การศึกษาที่กว้างขึ้น https://pilotinstitute.com/college-degree-aviation/

หลักสูตรทางการบินในระดับปริญญาตามที่สถาบันการบินในสหรัฐอเมริกามีเปิดสอนมีหลากหลายอาทิเช่น Aviation Maintenance/Aircraft Maintenance Management, Aviation Management/Airway Science Management, Aviation Studies, Flight Education, Avionics/Electronics, และอื่นๆ สำหรับดีกรีหรือคุณวุฒิที่จะได้รับมีตั้งแต่ระดับ อนุปริญญา (Associate degree), ปริญญาตรี (Bachelor), ปริญญาโท (Master) และปริญญาเอก (Ph.D.) ส่วน License คือใบประกอบวิชาชีพที่จะต้องสอบให้ผ่านเพื่อออกไปบินได้และจะต้องได้รับการรับรองจาก FAA หรือสหพันธ์บริหารการบินของประเทศสหรัฐ (FAA- Federal Aviation Administration) ตัวใบรับรองเรียกว่า FAA Certificate มีหลายประเภท ได้แก่ A&P, ATP, CFIA, CFII, Comm, Inst, ME, Priv, Rec, Rotorcraft

ความหมายของ A&P หรือ Airframe and Powerplant เป็นหลักสูตรช่างอากาศยานหรือหลักสูตรช่างซ่อมบำรุงเครื่องบิน (AMT) หลักสูตรนี้เป็นการฝึกอบรมให้ดูแลรักษาและซ่อมแซมเครื่องบินและเครื่องบินไอพ่นให้ได้ตามมาตราฐานของ FAA และยังได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบเครื่องบิน กำกับดูแลการรักษา บำรุงรักษาเชิงป้องกัน และเปลี่ยนแปลงเครื่องบินและระบบเครื่องบิน เนื้อหาที่เรียนจึงเกี่ยวกับโครงสร้างและระบบของเครื่องบินรวมถึงเครื่องยนต์ โดยจะเน้นในส่วนที่เป็น mechanical เช่น Air conditioning, Electrical, Equipment, Fire detection and Protection, Flight control, Fuel, Hydraulic, Ice and Rain Protection, Landing gear, Oxygen, Pneumatics, Water & Waste, APU, Doors, Structures & wings และระบบของเครื่องยนต์ทั้งหมด ดังนั้นงานของช่าง Airframe จึงต้องการคนมีความสามารถในการวิเคราะห์อย่างมากเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติจะเป็นลักษณะการตรวจหาสาเหตุและเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสีย หรือชำรุด ซึ่งจะเน้นไปในระบบและอุปกรณ์ประเภทที่เป็น mechanical components เช่น ล้อ, เบรค, ปั้มต่างๆ, วาล์วต่างๆ, Generators, Motors, Actuators, เครื่องยนต์, ท่อทางรวมถึงกลไกต่างๆ บางครั้งอาจจะต้องทำงานร่วมกับช่าง Avionics ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับระบบ ไฟฟ้าและอิเลกทรอนิกส์ ช่าง Airframe จะทำงานเป็นทีม โดยมีหัวหน้าเป็นช่างที่มีประสบการณ์และมี license เป็นคนคอยดูแลสั่งงานและตัดสินใจในปัญหาต่างๆ และช่าง license นี้ก็จะเป็นคนเซ็นต์ให้เครื่องออก หลังจากงานทุกอย่างเสร็จครบถ้วนแล้ว สรุปแล้วช่าง Airframe จะต้องดูแลรับผิดชอบเครื่องอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ตอนเครื่องลงจอด จนเครื่องออกไป ต้องเป็นคนที่มีบุคคลิกชอบลุยงาน อดหลับอดนอนจนกว่างานจะเสร็จได้ แต่ถ้าใครเลือกทำงานเฉพาะในโรงซ่อม ก็ไม่ต้องลำบากตรากตรำเท่าช่าง Airframe ( คัดมาจาก https://web.facebook.com/tpad48/posts/970715869745451/?paipv=0&eav=AfZnTnq6qGwX90I90iwAPPfKfn06JeP0FQDZ33v2T7d7xsMR9m1vjw4oSIde4qR7d3k&_rdc=1&_rdr)

ส่วนช่าง Avionics หรือ บางที่เรียกว่า REI ( Radio, Electrical, Instruments ) ช่างกลุ่มนี้จะเรียนและเน้นเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ เช่น Autoflight system, Flight management system, Radio & Communication, Electrical system, Electronic flight control system, Indications, lights, Navigation system, Instruments, Electronic engine control system ช่าง Avionics มักจะจบหลักสูตรเกี่ยวกับ CM (Communications Maintenance) หรือ AI (Aircraft Instruments) แต่ปัจจุบันมีหลายสถาบันเริ่มเปิดหลักสูตร Avionics โดยตรง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่คล้ายๆกับการควบรวมเอาสองหลักสูตร CM กับ AI เข้าด้วยกัน ช่าง Avionics ทำหน้าที่ซ่อม defects ที่นักบินรายงานหรือ defects ที่ช่าง Airframe ตรวจพบและร้องขอให้ช่วย รวมถึงงานที่ฝ่าย planning เตรียมไว้ งานของช่าง Avionics ก็จะเป็นลักษณะดังเช่น ถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เป็นกล่องควบคุมเช่น computers, อุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆเช่น sensors, Transmitters, antennas, connectors, Indicators,display units, gauges ต่างๆ, การซ่อมสายไฟ, หลอดไฟ, เช็คและตรวจสอบระบบไฟ , download-upload software ต่างๆ ช่าง Avionics จะทำงานร่วมกับช่าง Airframe ในการตรวจเช็คเครื่อง ตามรอบของการซ่อมบำรุงที่เป็นการเช็คใหญ่ๆ ซึ่งจะมีงานที่เป็นของ Avionics รวมอยู่ด้วย ทีมงานของ ช่าง Avionics นั้นก็คล้ายๆกับของ Airframe คือมีช่าง License เป็นหัวหน้าคอยสั่งงานและตัดสินใจ โดยรวมแล้วช่าง avionics จะรับงานเป็น jobs พอเสร็จงานชิ้นนี้แล้วก็จะไปเครื่องลำอื่นไปเรื่อยๆ จะไม่รับผิดชอบดูแลเครื่องบินลำใดลำหนึ่งโดยเฉพาะ

ATP Air Transport Pilot ATPL หมายถึง ใบอนุญาตนักบินขนส่งทางอากาศ และเป็นใบรับรองนักบินเครื่องบินระดับสูงสุด หลักสูตร ATPL จัดทำขึ้นเพื่อฝึกนักบินให้ทำงานในบริษัทสายการบิน ผู้ที่ได้รับการรับรองให้เป็นนักบินขนส่งทางอากาศจะได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่เป็นนักบินควบคุมอากาศยานในการให้บริการขนส่งทางอากาศ (สายการบิน)TP

CFIA Certified Flight Instructor Airplane คือ ใบประกาศนียบัตรที่มอบให้ครูสอนการบินที่ผ่านการรับรอง โดยพื้นฐานแล้ว คือบุคคลที่ผ่านการทดสอบที่จำเป็นและการสาธิตภาคปฏิบัติที่กำหนดโดยหน่วยงานการบินที่กำกับดูแล (FAA ในสหรัฐอเมริกา) ครูจะสอนนักบินนักเรียนถึงวิธีควบคุมเครื่องบิน ฝึกอบรมนักเรียนคนอื่นๆ ในฐานะ CFI และจัดทำการตรวจสอบเที่ยวบิน การตรวจสอบความชำนาญ หรือการตรวจสอบประกันภัย ครูสอนการบินเป็นแหล่งข้อมูลที่นักบินในอนาคตจะได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของการบิน เช่น การดูแลเครื่องบิน และวิธีการทำงานของเครื่องมือวัด พวกเขาทำเช่นนี้โดยการสอนผู้อื่นผ่านกระบวนการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ และผู้ที่เป็นผู้นำก็สอนไปพร้อมกับได้รับประสบการณ์การบินอันมีค่า ซึ่งพวกเขาสามารถนำไปใช้นอกเหนือจากในห้องเรียนหรือในเที่ยวบินปกติในแต่ละวัน ใบรับรองครูสอนการบินนี้ช่วยให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนักบินที่กว้างขวางยิ่งขึ้น มันจะช่วยให้คุณขยายความรู้ การบิน และความสามารถของคุณในฐานะมืออาชีพด้านการบิน ใบรับรองครูผู้สอนการบินมี 3 ประเภท คือ

  • ครูสอนการบินที่ผ่านการรับรอง (CFI) จะสอนวิธีบินเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยว
  • ครูสอนการบินที่ผ่านการรับรอง (CFII) หรือ CFII Certified Flight Instructor Instrument จะสอวิธีการบินด้วยเครื่องมือ (Inst) ในทัศนวิสัยที่จำกัด
  • ครูสอนการบินหลายเครื่องยนต์ (MEI) จะสอนวิธีบินเครื่องบินหลายเครื่องยนต์

Comm ย่อมาจาก Commercial ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์หมายความว่าคุณได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้ได้รับค่าตอบแทนในฐานะนักบิน นักบินพาณิชย์ได้รับค่าจ้างให้ทำการบินในฐานะนักบิน การขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ตลอดจนปฏิบัติการอื่นๆ เช่น การสำรวจทางอากาศ ตลอดจนการค้นหาและกู้ภัย นักบินพาณิชย์จะแตกต่างจากนักบินสายการบิน ตรงที่นักบินของสายการบินจะดำเนินการเที่ยวบินโดยสารตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ หากต้องการบินในฐานะนักบินจะต้องมีใบรับรองนักบินขนส่งทางอากาศ (ATP) ซึ่งเป็นใบอนุญาตนักบินสูงสุดที่ FAA ออก อย่างไรก็ตาม นักบินทุกคนต้องเริ่มต้นด้วยการได้รับใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล PPL ก่อน จากนั้นจึงได้รับใบอนุญาตนักบินเชิงพาณิชย์ Comm.Pilot ก่อนที่จะได้รับใบรับรอง ATP

Inst หลักสูตรการบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน หรือ Instrument Rating (IR) เป็นหลักสูตรการฝึกสอนนักบินในการบินด้วยทัศนวิสัยที่จำกัด หรือ ในสภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น บินตอนกลางคืนหรือบินในขณะที่มีเมฆหนาปกคลุม นักเรียนการบินจะได้ฝึกบินกับครูผู้สอนด้วยเครื่องบินรุ่นไหนแล้วแต่โรงเรียนที่สอนจัดไว้จำนวนอย่างน้อย 45 ชั่วโมง เรียนภาคพื้นจำนวน 31 ชั่วโมง และฝึกด้วยเครื่องจำลองการบินจำนวน 14 ชั่วโมง

ME หรือ Multi-engine หลักสูตรการบินด้วยเครื่องบินแบบสองเครื่องยนต์ หรือ Multi-Engine Rating (MR) เป็นหลักสูตรที่จะฝึกอบรมให้นักบินสามารถขับเครื่องบินที่มีหลายเครื่องยนต์ได้อย่างปลอดภัย การบินด้วยเครื่องบินแบบหลายเครื่องยนต์ Multi-engine (ME) ทำให้ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ความเข้าใจในการบินเครื่องบินหลายเครื่องยนต์, สามารถนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้ในการบินเครื่องบินหลายเครื่องยนต์, ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์การบินด้วยเครื่องบินหลายเครื่องยนต์ และทำการบินด้วยความปลอดภัย หลักสูตร ME จะประกอบด้วยการฝึกสอนภาคพื้น (Ground Training) การฝึกสอนเครื่องฝึกบินจำลอง (Simulator Flight Training) การฝึกสอนภาคอากาศ (Flight Training) อย่างละกี่ชั่วโมงแล้วแต่สถาบันการบินนั้นกำหนด ผู้จะเข้าเรียนหลักสูตรนี้มักเป็นผู้ถือใบอนุญาตนักบินส่วนบุคคล (PPL License) หรือใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี (CPL License)มาแล้ว

Priv ใบอนุญาตนักบินเอกชน หรือ Private Piot License (PPL) เป็นใบรับรองประเภทนักบินที่เป็นที่มีคนต้องการมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ใบอนุญาตนักบินเอกชนจริงๆ แล้วเรียกว่าใบรับรองนักบินเอกชน และมีความคล้ายคลึงกับใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถยนต์ การได้รับใบอนุญาตนักบินเอกชนจะทำให้คุณสามารถขับเครื่องบินได้อย่างถูกกฎหมาย นักบินเอกชนได้รับการฝึกให้ควบคุมเครื่องบินขนาดเล็กได้ด้วยตัวเอง การฝึกบินรวมถึงการซ้อมรบด้วยเครื่องบิน การนำทาง ขั้นตอนฉุกเฉิน และการวางแผนการบินข้ามประเทศ แม้ว่าผู้คนอาจขอใบอนุญาตด้วยเหตุผลด้านงานอดิเรกหรือการเล่นกีฬา ใบรับรองนักบินเอกชนถือเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกบนเส้นทางสู่การเป็นนักบินสายการบิน

Rec ย่อมาจาก Recreational หลักสูตรการบินด้านสันทนาการจะใช้เวลาฝึกอบรมน้อยกว่าหลักสูตรการเป็นนักบินส่วนตัว โดยจะสามารถรับใบประกาศได้หลังจากฝึกการบินนานประมาณ 30 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ 40 ชั่วโมงของการฝึกเป็นนักบินส่วนตัว เนื่องจากข้อกำหนดในการฝึกอบรมลดลง ผู้ถือใบรับรองการบินด้านสันทนาการจึงมีข้อจำกัดบางประการ อาทิ เช่น บินด้วยเครื่องบินที่บรรทุกผู้โดยสารได้เพียงคนเดียวและบินในเครื่องบินเครื่องยนต์เดียวที่มีกำลัง 180 แรงม้าหรือน้อยกว่า โดยมีที่นั่งสูงสุดสี่ที่นั่งได้ ช่วงเวลาที่จะบินได้จะต้องอยู่ในช่วงเวลากลางวันและสภาพอากาศดี บินได้สูงไม่เกิน 10,000 ฟุต เว้นแต่ว่าจะบินอยู่เหนือภูมิประเทศ เช่น ภูเขาที่สูงกว่า 10,000 ฟุต ถ้าจะมีการบินข้ามประเทศหรือในน่านฟ้าที่ต้องมีการสื่อสารกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ นักบินด้านสันทนาการจะต้องรับการฝึกอบรมเพิ่มเติมและมีการรับรองสมุดบันทึกจากผู้สอนด้วย ผู้ถือใบรับรองนักบินด้านสันทนาการที่มีเวลาบินน้อยกว่า 400 ชั่วโมงจะต้องทำการบินขึ้น 3 ครั้งและลงจอด 3 ครั้งทุกๆ 90 วัน เพื่อให้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้

Rotorcraft หรือ Helicopter license การเรียนรู้ที่จะบินด้วยเฮลิคอปเตอร์นั้นมีความท้าทายมากกว่าการใช้ปีกคงที่ เพราะมีหลักการแอโรไดนามิกเพิ่มเติมที่ต้องฝึกฝน และการควบคุม เช่น วงจรและส่วนรวมที่ต้องควบคุม ถ้าใครคิดที่จะเปลี่ยนจากการบินโดยใช้ปีกคงที่ไปเป็นโรเตอร์ ก็จะต้องได้เปรียบในเรื่องพื้นฐานการบินบางส่วน แต่จะมีทักษะหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้ใหม่ เช่นเดียวกับกรณีของการบินด้วยเครื่องบินปีกคงที่ Helicopter license ก็มีใบอนุญาตเฮลิคอปเตอร์มากกว่าหนึ่งประเภท เช่น ถ้าจะขับเฮลิคอปเตอร์เพื่อความบันเทิงและใช้งานส่วนตัวได้ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพที่เรียกกันว่า Private Pilot License(PPL) – Helicopter แต่ถ้าต้องการที่จะขับเฮลิคอปเตอร์เป็นอาชีพหรือเป็นความพยายามในการสร้างรายได้จากการขับเฮลิคอปเตอร์ ก็ต้องมี Commercial Helicopter License อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้รับ Commercial Helicopter License ต้องมี Private Pilot License(PPL) – Helicopter ก่อน

อนึ่ง นักบินต่างชาติที่มี License การบินประเภทต่างๆจากประเทศของตนเองแล้วต้องการไปเป็นนักบินในสหรัฐอเมริกา นักบินต่างชาติต้องเข้าไปศึกษาเรื่องวิธีการแปลงใบอนุญาตนักบินต่างประเทศเป็นใบรับรองนักบินของ FAA จากเว็บไซต์ของ FAA https://www.faa.gov/licenses_certificates/airmen_certification/foreign_license_verification

รายชื่อสถานศึกษาในสหรัฐอเมริกาที่เปิดสอน Aerospace Engineering, Aeronautical Engineering และ Aviation Program รวมทั้งหลักสูตรการบินที่มีมาตราฐาการสอนที่ดีมักจะมีความเชื่อมโยงหรือได้รับการยอมรับจากสมาคมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบินในสหรัฐอเมริกา ได้แก่

  • Associations: AAAE-American Association of Airport Executives
  • AAE- Association for Avionics Education
  • AEA-Aircraft Electronics Association
  • ATEC-Aviation Technical Education Council
  • CAA-Council on Aviation Accreditation
  • IATA-International Air Transport Association หรือ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
  • NAAA-National Agriculture Aviation Association
  • NBAA-National Business Aviation Association
  • NIFA-National Intercollegiate Flying Association
  • PAMA-Professional Aviation Maintenance Association
  • RAA-Regional Airline Association
  • UAA-University Aviation Association
  • WIAI-Women in Aviation International

ผู้สนใจหลักสูตรการบินในสหรัฐอเมริกายังสามารถค้นคว้าหารายชื่อสถานศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ University Aviation Association https://www.uaa.aero/ ซึ่งนอกจากรายชื่อวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย แล้วยังมีข่าวเรื่องทุนการศึกษาอีกด้วย แต่ก็ต้องศึกษาดีๆว่า ทุนนั้นให้นักศึกษาต่างชาติด้วยหรือไม่

ในส่วนของรายชื่อสถานศึกษา ผู้สนใจเข้าไปหาข้อมูลออนไลน์เองได้ใน UAA Collegiate Aviation Guide https://issuu.com/universityaviationassociation/docs/cag_2023g

Copyright © 2010-2023 GoVisaEdu All rights reserved