Community College หรือ อีกชื่อหนึ่งคือวิทยาลัยสองปี แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ วิทยาลัยชุมชนของรัฐ (Public) กับ วิทยาลัยชุมชนของเอกชน (Private) วิทยาลัยสองปีมักจะมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่มีบทบาทในชุมชนโดยรอบ และจะมีค่าเล่าเรียนที่ถูกกว่าค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัย หลายท่านที่เคยเข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อประเทศสหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาตรี อาจจะพบคำว่า Community College บ้าง Junior College บ้าง Two year College บ้าง ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่า คำศัพท์เหล่านี้มีความหมายเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ขอสรุปว่า คำศัพท์ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วมีความหมายเดียวกัน ก่อนหน้าทศวรรษ 1970 (พ.ศ.2513) มักจะพบการใช้คำว่า Junior College มากกว่า Community College และคำว่า Two Year College มักใช้กับวิทยาลัยเอกชน หรือ Private Two Year Institution ขณะที่วิทยาลัยสองปีที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลจะนิยมเรียกว่า Community College
ต่อมาในปีค.ศ. 1992 (พ.ศ.2535) ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเรียกขานหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านวิทยาลัยชุมชนจาก American Association of Junior Colleges เป็น American Association of Community Colleges
( Ref: http://en.wikipedia.org/wiki/Community_colleges_in_the_United_States )
ผู้ที่ศึกษาจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเกรด 12 จะเป็นจากโรงเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทยหรือมัธยมศึกษาในประเทศอื่นๆที่เทียบเท่าเกรด 12 สามารถเลือกสมัครเข้าศึกษาต่อใน Community College ได้
Community College หรือ วิทยาลัยชุมชนเปิดสอนหลายหลักสูตร แต่หลักสูตรหลักๆคือ หลักสูตรอนุปริญญาสองปี โดยแบ่งหลักสูตรออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
- หลักสูตรโอนย้ายหน่วยกิตเพื่อเข้าไปศึกษาต่อในระดับชั้นปีที่ 3 และปีที่ 4 ในมหาวิทยาลัย หรือที่เรียกกันว่า หลักสูตร Transfer Program หรือ College Transfer Program อนุปริญญาที่จะได้รับเรียกว่า A.A. หรือ Associate of Arts และ A.S. หรือ Associate of Science
- หลักสูตรด้านเทคนิคหรืออาชีวศึกษา (Vocational Program หรือ Career Training Program) เป็นหลักสูตรระยะสั้นเพื่อฝึกอบรมวิชาชีพเฉพาะด้านหรือวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะความชำนาญเฉพาะด้าน อาทิ วิศวกรรมยานยนต์ การซ่อมแซมมอเตอร์ไซค์ โภชนาการ ช่างภาพ พยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ การแพทย์ฉุกเฉิน ฯลฯ อนุปริญญาที่ได้เรียกชื่อว่า A.A.A. หรือ Associate of Applied Arts และ A.A.S. หรือ Associate of Applied Science ใช้ระยะเวลาในการศึกษานาน 2 ปี หลักสูตร A.A.A. และ A.A.S. ของแต่ละวิทยาลัยนั้น บางแห่งไม่สามารถโอนย้ายหน่วยกิตเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้ เช่น หลักสูตรของ Northern Virginia Community College (http://www.nvcc.edu/current-students/transfer/)
บางแห่งหลักสูตร A.A.A. และ A.A.S. อนุญาตให้โอนย้ายหน่วยกิตเข้าไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ เช่นหลักสูตร A.A.S.-T Degree( Associate of Applied Science -Transfer) ของ Seattle Central Community College (http://www.seattlecentral.edu/course/degreesandcerts.php ) ผู้สนใจที่จะเริ่มต้นเข้าศึกษาต่อใน Community College จึงควรให้ความสนใจต่อการเลือกหลักสูตร และทางเลือกภายหลังจบการศึกษาในระยะเวลา 2 ปีจากวิทยาลัยแห่งนั้นๆด้วย
วิทยาลัยชุมชนจึงเป็นเสมือนทางที่จะก้าวไปสู่การเข้าเรียนต่อ (Pathway) ในมหาวิทยาลัยของนักเรียนต่างชาติจำนวนมาก มีวิทยาลัยชุมชนอยู่มากกว่า 1,200 แห่งทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา และส่วนใหญ่เป็นวิทยาลัยของรัฐ โดยนักเรียนต่างชาติจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกกว่าค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัยทั่วไปที่อยู่ใกล้กัน ผู้สนใจ Community College อาจศึกษาค่าใช้จ่ายจากเว็บไซต์ Community College ที่ต้องการส่งสมัคร หรือในที่นี้ขอยกตัวอย่างตัวเลขคร่าวๆของเว็บไซต์ Community College ในรัฐ California
http://www.californiacolleges.edu/finance/how-much-does-college-cost.asp
Joliet Junior College ตั้งอยู่ที่เมือง Joliet รัฐ Illinois
( http://www.jjc.edu/Pages/default.aspx) นับเป็นวิทยาลัยสองปีแห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ( Ref: http://www.educationnews.org/articles/community-colleges-a-brief-history.html) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1901 (พ.ศ.2444) ตามคำสั่งของ William Rainey Harper ประธานของมหาวิทยาลัย Chicago เนื่องจากผู้จบระดับมัธยมศึกษามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และบางส่วนของนักเรียนเหล่านี้ต้องการมีความรู้ที่มากกว่าระดับมัธยมศึกษาแต่ไม่ได้ต้องการความรู้ที่ลึกซึ้งระดับมหาวิทยาลัย ดังนั้น Community College จึงมีวัตถุประสงค์ 2 ประการในการก่อตั้งคือ
1. เพื่อช่วยให้นักศึกษาที่จบระดับมัธยมศึกษาได้มีแหล่งเรียนรู้เพิ่มขึ้น โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย
2. เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้เรียนรู้หลักสูตรศิลปศาสตร์ (Liberal Arts) เบื้องต้นก่อนที่จะเข้าไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
จากเว็บไซต์ของสมาคมวิทยาลัยชุมชน ( http://www.aacc.nche.edu/Pages/default.aspx ) จะเห็นได้ว่าตัวเลขของวิทยาลัยชุมชนในปีค.ศ. 2011 (พ.ศ.2554) ประเทศสหรัฐอเมริกามีวิทยาลัยชุมชนจำนวนรวมทั้งหมด 1,167 แห่ง เป็นของรัฐบาลจำนวน 993 แห่ง ของเอกชนจำนวน 143 แห่ง และอื่นๆอีก 31 แห่ง
( Ref: http://www.aacc.nche.edu/AboutCC/Documents/FactSheet2011.pdf)
ผู้สนใจติดตามข่าวจาก Community College สามารถเลือกติดตามข่าวจาก Social Media
( http://www.aacc.nche.edu/Resources/Pages/social_media.aspx) ดังต่อไปนี้
สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจจะสมัครเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยชุมชนอาจจะกำลังมองหาเว็บไซต์ที่รวบรวมรายชื่อวิทยาลัยชุมชนในรัฐต่างๆอยู่นั้น ขอแนะนำเว็บไซต์ดังต่อไปนี้คือ
- เว็บไซต์ของ American Association of Community Colleges http://www.aacc.nche.edu/pages/ccfinder.aspx
เมื่อตัดสินใจเลือกไปศึกษาต่อในรัฐใด ให้คลิกเลือกรัฐนั้นๆ อาทิ รัฐ California จะปรากฏรายชื่อวิทยาลัยและสถิติในด้านต่างๆ อาทิ จำนวนวิทยาลัยที่เป็นของรัฐ ของเอกชน สถิติจำนวนนักศึกษาในปีค.ศ.2001บ้าง ค.ศ. 2004 บ้าง จำนวนนักศึกษาที่เป็นเพศชาย เพศหญิง เชื้อชาติ อายุเฉลี่ย จำนวนอาจารย์ และเงินอุดหนุนที่วิทยาลัยในรัฐ California ได้รับ
- เว็บไซต์ของ มหาวิทยาลัย University of Texas at Austin
http://www.utexas.edu/world/comcol/state/
ข้อดีของการศึกษาใน Community College มีดังนี้คือ
1. ค่าใช้จ่ายในวิทยาลัยชุมชนซึ่งหมายถึงค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายส่วนตัวจะถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการศึกษาประเภทมหาวิทยาลัย
2. ผู้ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาไม่สูงมาก หรือผู้ที่หยุดพักการเล่าเรียนไปนานหลายปี สามารถที่จะเริ่มต้นการศึกษาใหม่ในวิทยาลัยชุมชนได้ง่ายกว่าในการสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย เพราะวิทยาลัยชุมชนส่วนใหญ่ไม่ได้เรียกร้องให้นักศึกษาต้องส่งผลสอบ SAT
3. นักเรียนนักศึกษาที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเรียนสาขาวิชาใดในระดับปริญญาตรี การเริ่มศึกษาในวิทยาลัยชุมชนจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการลองเลือกเรียนวิชาต่างๆเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตนเอง หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานความรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่ง อาจลองเลือกลงทะเบียนเรียนกับวิทยาลัยชุมชนที่มีค่าเล่าเรียนไม่แพงก่อนไปลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการสมัครเรียนจริงๆ
4. ชั้นเรียนของวิทยาลัยชุมชนจะมีขนาดเล็ก เหมาะต่อการปรับตัวของนักศึกษาที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับภาษาและวัฒนธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา และบรรดาอาจารย์ที่สอนในวิทยาลัยชุมชนจะทุ่มเทให้กับงานสอนมากกว่าการทำวิจัยเหมือนอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย
5. นักเรียนนักศึกษาอเมริกันที่เลือกเรียนในวิทยาลัยชุมชนมีโอกาสที่จะประหยัดค่าที่พักได้เพราะวิทยาลัยชุมชนมักตั้งอยู่ใกล้บ้านพักนักศึกษา และเหมาะกับนักศึกษาอเมริกันที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หรือผู้ที่มีข้อผูกมัดด้านอื่นๆ
ข้อเสียของ Community College (Ref: http://www.ehow.com/facts_5120520_disadvantages-community-college.html; http://www.stateuniversity.com/blog/permalink/Community-Colleges-Advantages-and-Disadvantages.html )
1. ด้านที่พัก เนื่องจากวิทยาลัยชุมชนมักตั้งอยู่ในบริเวณไม่ไกลจากที่พักของชุมชนอเมริกัน นักศึกษาอเมริกันจะมองประเด็นนี้เป็นข้อได้เปรียบ แต่อาจจะเป็นข้อเสียเปรียบของนักศึกษาต่างชาติ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกสมัครวิทยาลัยชุมชนใดควรทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่พักไปพร้อมๆกันเลือกสถานที่ที่จะเข้าเรียนต่อด้วยว่า วิทยาลัยแห่งนั้น มีหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์สำหรับนักศึกษาต่างชาติ หรือมีบริการจัดหาครอบครัวอเมริกัน ( Homestay)ให้พักอยู่ด้วยหรือไม่ http://www.stateuniversity.com/blog/permalink/Community-Colleges-Advantages-and-Disadvantages.html
2. ขาดบรรยากาศของวิทยาลัยที่แท้จริง เพราะวิทยาลัยชุมชนตั้งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของคนที่อยู่ในชุมชน ดังนั้นหลังเลิกเรียน นักศึกษาชาวอเมริกันมักเดินทางกลับบ้านพักของตนเอง หรือ อาจมีภาระอื่นๆที่จะต้องไปรับผิดชอบ เช่น ครอบครัวของนักศึกษาอเมริกัน หรือการไปทำงานของนักศึกษาอเมริกันหลังเลิกเรียน จึงทำให้นักศึกษาต่างชาติอาจไม่มีโอกาสร่วมกิจกรรมที่จัดโดยนักศึกษากันเองได้อย่างเต็มที่เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษาที่เลือกเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
3. การโอนย้ายหน่วยกิตเพื่อเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่เข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยชุมชนต้องให้ความสนใจในการเลือกลงทะเบียนเรียนแต่ละรายวิชาอย่างจริงจัง เพราะมิได้หมายความว่าทุกวิชาจะสามารถโอนย้ายหน่วยกิตเข้าไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นนักศึกษาควรปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด เช่น Northern Virginia Community College ได้เขียนคำแนะนำนักศึกษาในเรื่องการเตรียมตัวเพื่อการโอนย้ายหน่วยกิตเข้าไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยอย่างเป็นขั้นเป็นตอน http://www.nvcc.edu/current-students/transfer/
4. ขาดการปฏิสัมพันธ์ในระดับวิทยาลัยที่มีประสิทธิภาพเมื่อเปรียบเทียบกับการมีปฏิสัมพันธ์กันในหมู่นักศึกษาระดับวิทยาลัย 4 ปี อันอาจจะนำไปสู่ปัญหาการสร้างความสัมพันธืในระบบเครือข่าย (Network)ที่ดีได้
สถิติวิทยาลัยชุมชนที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติเป็นจำนวนมาก ได้นำมาแสดงให้ดู ณ ที่นี้เพื่อจะได้ทราบอย่างคร่าวๆว่า มีวิทยาลัยชุมชนใดบ้างที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาตินิยมสมัครไปเรียน อย่างไรก็ตาม ขอให้ใช้วิจารณญาณในการเลือกวิทยาลัยชุมชนให้เหมาะสมกับคุณสมบัติผู้สมัคร เนื่องจาก วิทยาลัยชุมชนที่มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติปริมาณมาก อาจจะไม่มีอะไรแตกต่างจากบรรยากาศในมหาวิทยาลัยมากนัก กล่าวคือ ถ้าผู้สมัครเรียนในวิทยาลัยชุมชนต้องการบรรยากาศความเป็นกันเอง ห้องเรียนมีขนาดเล็ก ครูอาจารย์ให้ความสนใจผู้เรียน ก็อาจจะไม่ได้รับสิ่งที่กล่าวมาตอบสนองได้ ดังนั้น เมื่อเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ของวิทยาลัยชุมชนชื่อต่างๆ ให้ลองพิจารณาสัดส่วนระหว่างอาจารย์กับนักเรียน และ จำนวนอาจารย์ที่ทำหน้าที่แนะแนวการศึกษาด้วยว่า มีมากน้อยเพียงใด โปรดศึกษารายละเอียดจำนวนนักศึกษาต่างชาติในวิทยาลัยชุมชนได้ที่เว็บไซต์ http://www.iie.org/Research-and-Publications/Open-Doors/Data/International-Students/Leading-Institutions-By-Institutional-Type/2010-11
Copyright © 2010-2012 GoVisa All rights reserved