การสมัครเข้าเรียนต่อกฎหมายในสหรัฐอเมริกาผ่านหน่วยงาน LSAC
The Law School Admission Council (LSAC ) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2490 (ค.ศ.1947) LSAC เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหน่วยงานที่จัดทำแบบทดสอบ LSAT สำหรับผู้ที่จะเข้าเรียนต่อ JD ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ละปีจะมีผู้เข้าสอบ LSAT ประมาณ 150,000 คนจากศูนย์สอบทั่วโลก นอกจากจะเป็นหน่วยงานจัดสอบ LSAT แล้ว ในปัจจุบันนี้ LSAC ยังมีส่วนช่วยให้การสมัครเข้าเรียนต่อกฎหมายในสหรัฐอเมริกาทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น ด้วยระบบ Credential Assembly Service หรือ CAS ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการสมัครเรียนต่อกฎหมายจะส่งผลการเรียน (Transcript) , จดหมายแนะนำตัวจากอาจารย์หรือ Letter of Recommendation รวมทั้งผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL iBT หรือ IELTS หรือ LSAT ไปยัง LSAC เพื่อให้ LSAC รายงานต่อไปยังมหาวิทยาลัยที่ส่งสมัคร โดยผู้สมัครจะเข้าไปสร้างบัญชีของผู้สมัครจากเว็บไซต์ http://llm.lsac.org/login/signup.aspx ผู้สมัครจะได้รับหมายเลขประจำตัวที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร L ตามด้วยหมายเลข ผู้สมัครจะใช้ L Number ในการติดต่อกับ LSAC ทุกครั้ง
หากผู้สมัครอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครจะต้องส่ง Transcript และ Letter of Recommendation ให้ LSAC ประมาณ 4-6 สัปดาห์ก่อนหน้าวันปิดรับสมัครของมหาวิทยาลัยที่ต้องการส่งสมัคร หากผู้สมัครมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศต้องเพิ่มระยะเวลาออกไปให้นานกว่า 4-6 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม LSAC-CRS จะไม่คิดค่าบริการถ้าผู้สมัครต้องการเพียงค้นหารายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีเปิดสอนทางกฎหมาย และศึกษาเกี่ยวกับเกณฑ์การรับเข้าศึกษา เป็นต้นว่าผู้สนใจสมัคร LLM จะเข้าไปค้นหารายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีเปิดสอน LLM ว่ามีที่ไหนบ้างใน 50 รัฐ ให้ผู้สมัครเข้าไปค้นหาได้ที่เว็บไซต์ http://www.lsac.org/LLM/Choose/LLM-program-guide.asp
หรือจะค้นหาจากเว็บไซต์ต่อไปนี้
https://officialguide.lsac.org/release/OfficialGuide_Default.aspx ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการค้นหาโดยสรุปผลออกมาในรูปแบบหัวข้อต่างๆดังนี้ คือ Admissions, Enrollment, Finances,Curriculum, Faculty, After Graduation
เมื่อลองคลิก CA หรือรัฐ California จากภาพแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จะปรากฏรายชื่อสถานศึกษาจำนวนมาก ซึ่งนักศึกษาสามารถคลิกเข้าไปที่ชื่อมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาสนใจเพื่อค้นหารายละเอียดของสถานศึกษาแห่งนั้นๆได้เพิ่มขึ้น
http://www.lsac.org/LLM/Choose/geographic-LLM-program-guide.asp#CA
สำหรับค่าบริการของ LSAC แบ่งออกเป็น 2 รายการคือ
1. ค่า Document Assembly Service จำนวน 75 ดอลลาร์สหรัฐใช้สำหรับส่ง Transcript, Letter of recommendations ของนักศึกษา ไปยัง Law School ที่นักศึกษาส่งสมัคร รวมถึงการที่นักศึกษาต้องกรอกฟอร์มใบสมัคร online ให้มหาวิทยาลัย และเป็นค่าส่งผลสอบภาษาอังกฤษไปยัง Law School ที่ส่งสมัครอีกด้วย
2. ค่า International Transcript Authentication & Evaluation Service อีก 125 ดอลลาร์สหรัฐ กรณี Transcript ออกโดยสถาบันการศึกษาต่างประเทศ
เมื่อ LSAC ได้รับ Transcript จากนักศึกษา LSAC จะดำเนินการส่ง Transcript ให้ Law school ที่นักศึกษาเตรียมสมัคร และ LSAC จะคิดค่าบริการในการส่ง report ไปยังมหาวิทยาลัยที่จะสมัครจำนวน 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งมหาวิทยาลัย
อนึ่ง ในการส่งสมัครปริญญาโท หากนักศึกษาเป็นกังวลไม่มั่นใจที่จะใช้บริการของ LSAC ในการส่งเอกสารอันประกอบด้วย Transcript, Letter of Recommendation, TOEFL หรือ IELTS บางมหาวิทยาลัยมีทางเลือกให้นักศึกษาส่งใบสมัครโดยทำตารางเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างดังวิธีการสมัครเข้าศึกษาต่อปริญญาโทกฎหมายที่ New York University
อย่างไรก็ตาม หากนักศึกษาไม่สามารถค้นหารายละเอียดของบางสถานศึกษาได้ดังเช่นรายละเอียดของ New York University ให้นักศึกษาเขียนอีเมล์สอบถามไปยังมหาวิทยาลัยนั้นๆโดยตรงว่า นักศึกษาสามารถส่งสมัครมหาวิทยาลัยโดยไม่ผ่าน LSAC ได้หรือไม่ ถ้าคำตอบนั้นคือได้ จึงค่อยทำการส่งสมัครในระบบเดิม ส่วนในอนาคตหากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสมัครเข้าศึกษาต่อของมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกามีเพิ่มมากขึ้น นักศึกษาจำเป็นต้องยอมรับวิธีการส่งสมัครแบบใหม่โดยไม่มีทางเลือก
ข้อดีของการส่งสมัครผ่าน LSAC คือ นักศึกษาส่งเอกสารให้ LSAC จำนวน 1 ชุด และ LSAC จะส่งต่อให้มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ LSAC ยังทำให้มหาวิทยาลัยมีโอกาสเห็นรายละเอียดของผู้สมัคร เช่น ความสนใจในสาขาวิชาเอกของผู้สมัคร, ประสบการณ์ในการทำงาน, ประเทศที่ผู้สมัครได้รับปริญญาตรี, การเป็นพลเมืองของประเทศใด และ การกำหนดค่าบางอย่างตามจุดิกัดทางภูมิศาสตร์ ดังคำอธิบายในเว็บไซต์ http://www.lsac.org/llm/Choose/LLM-crs.asp
LSAC จะทำหน้าที่รวบรวม
1. ผลการเรียน (Transcript) ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรี ปริญญาโท หรือหลักฐานการเรียนผ่านเนติบัณฑิต
2. International Credential Evaluation Report ( เฉพาะนักศึกษาต่างชาติเท่านั้น)
3. Letter of Recommendation (LOR)
4. ผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษ TOEFL, IELTS ส่วน Transcript จะต้องบรรจุอยู่ในซองที่มีตราประทับของมหาวิทยาลัย ข้อดีของการส่ง Transcript ผ่าน LSAC คือส่ง Transcript ชุดเดียวให้ LSAC พร้อมแบบฟอร์ม Transcript request ซึ่งแบบฟอร์มหลังนี้อาจจะต้องทำสำเนาหลายชุด ถ้าต้องการสมัครหลายมหาวิทยาลัย เพื่อให้แผนกทะเบียนของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยรับรองว่าผู้สมัครต้องการจะส่ง Transcript ไปที่ใดบ้างในประเทศสหรัฐอเมริกา LSAC เมื่อได้รับเอกสารจากผู้สมัครจะดำเนินการส่ง Transcript request form และทำสำเนา transcript ส่งไปยังสถานศึกษาตามที่ผู้สมัครต้องการ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า สถานศึกษาแห่งนั้นจะต้องอยู่ในรายการชื่อของ LSAC เท่านั้น กรณีผู้จบปริญญาตรีกฎหมายจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ส่ง Transcript ในภาษาของตนเอง (Native Language) จากสถานศึกษาแนบไปด้วย http://www.lsac.org/LLM/Applying/LLM-requesting-transcripts.asp หากสถานศึกษาบางแห่งไม่มี Transcript ในภาษาของตนเอง เช่น ภาษาไทยให้เขียนอีเมล์ไปปรึกษา LSAC เป็นกรณณีพิเศษว่ายังจำเป็นต้องใช้ Transcript ภาษาต้นฉบับหรือไม่
5. กรอกใบสมัคร online ผ่าน LSAC และชำระค่าสมัครด้วยการตัดเงินผ่านบัตรเครดิต การดำเนินการทั้งหมดทำผ่าน LSAC Account ของนักศึกษา
http://www.lsat.org/LLM/Applying/LLM-eapps.asp
ยกตัวอย่างวิธีการสมัครมหาวิทายาลัย 1 แห่งทางกฎหมายคือ University of California/Berkeley http://www.law.berkeley.edu/5655.htm
Copyright © 2010-2012 GoVisa All rights reserved