หลักสูตร BTEC แตกต่างจากหลักสูตร A Level และ IB อย่างไร

หลักสูตร BTEC แตกต่างจากหลักสูตร A Level และ IB อย่างไร

หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายของสหราชอาณาจักร ที่จะใช้ยื่นสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรได้โดยตรง โดยนักเรียนไม่ต้องเรียนหลักสูตรประเภท Foundation Year หรือ International Foundation Year ก่อน มีอยู่  3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. หลักสูตร BTEC level 3
  2. หลักสูตร GCE A Level
  3. หลักสูตร IB Diploma

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในแต่ละหลักสูตรจะมีการกำหนดอายุของผู้เรียนไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะกฏในการสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร นักเรียนจะต้องมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ถ้าอายุยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์จะไม่มีมหาวิทยาลัยใดรับเข้าเรียน หลักสูตรทั้งสามที่กล่าวมาแล้วคืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร

ความหมายของเนื้อหาหลักสูตร BTEC, GCE A Level และ IB Diploma

หลักสูตร BTEC

BTEC ย่อมาจาก Business and Technology Education Council นักเรียนที่เรียนจบชั้น ม.4 อายุ 16 ปี ถ้ามีความถนัดหรือมีทักษะในการปฎิบัติมากกว่าการอ่านหนังสือเพื่อทำความเข้าใจ หรือต้องท่องหนังสือนานๆ บางเว็บไซต์อาจจะกล่าวว่า BTEC เหมาะกับนักเรียนที่มีความถนัดในการใช้มือหรือการทำมากกว่าการเรียนด้านวิชาการ  วิชาที่เรียนใน BTEC ส่วนใหญ่ไม่มีการสอบข้อเขียน แต่จะใช้ส่งผลงานที่เป็น Project ใหญ่ตอนจบ อาจจะเป็นเดี่ยวหรืองานกลุ่มแล้วแต่อาจารย์ผู้สอน เช่น วิชาออกแบบ, วิชาดนตรี ฯลฯ เป็นต้น https://www.youtube.com/watch?v=GWwzpDy8UmU

BTEC เกิดขึ้นเมื่อราวค.ศ.1980 เศษๆ ผู้เลือกเรียน BTECs เมื่อเรียนจบแล้ว เทียบเท่าได้กับผู้ที่เรียนจบหลักสูตร A Level :  https://qualifications.pearson.com/en/support/support-topics/understanding-our-qualifications/comparing-btec-to-other-qualifications/btec-qualifications-by-level.htmlBTEC มีจำนวน 2,000 วิชาให้เลือกเรียน ครอบคลุม 16 วิทยาการสาขา และมีตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับ 7 ระดับ 7 หมายถึงหลักสูตรหลังระดับปริญญาตรี (Postgraduate study) : https://www.ucas.com/further-education/post-16-qualifications/qualifications-you-can-take/btec-diplomas วิทยาการสาขาต่างๆ ได้แก่

  • Applied Science
  • Art and Design
  • Business
  • Childcare
  • Construction
  • Engineering
  • Media
  • Health and Social Care
  • Hospitality
  • ICT
  • Land-based
  • Performing Arts
  • Public Services
  • Sport
  • Travel and tourism

BTEC มีความยืดหยุ่นให้กับผู้เรียน โดยผู้เรียนสามารถเลือกลงเรียนวิชาใน BTEC 1 วิชา และเลือกเรียนวิชาใน GCSE หรือ A Level ได้อีก 1 วิชา นักเรียนมีโอกาสทำข้อสอบย่อยได้ตั้งแต่เรียนปีที่ 1 หากผลคะแนนสอบได้ออกมาไม่ดี นักเรียนสามารถเปลี่ยนไปเรียนวิชาใหม่ได้ในปีที่ 2

BTEC แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

  1. BTEC Firsts คือระดับเริ่มต้นถึงระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตราฐานเดียวกันกับระดับ GCSE  BTEC Firsts เป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้เรียนได้เข้าไปสู่การเริ่มต้นทำงาน
  2. BTEC Nationals เริ่มตั้งแต่ระดับ 3 เทียบเท่ากับระดับ A Level ผู้จบระดับนี้สามารถนำคุณวุฒิไปใช้สมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้ หรือจะนำไปใช้ในการสมัครทำงาน
  3. BTEC Apprenticeships เริ่มตั้งแต่ระดับ 2 ถึงระดับ 5

บางเว็บไซต์อาจจะมีการแบ่ง BTEC อออกเป็น 6 ระดับ คือ  https://qualifications.pearson.com/en/support/support-topics/understanding-our-qualifications/our-qualifications-explained/about-btecs.html

  1. BTEC First
  2. BTEC National
  3. BTEC Higher National
  4. BTEC Foundation Diploma in Art and Design
  5. BTEC Specialist and Professional Qualifications
  6. BTEC Tech Awards

การคิดคะแนนสอบ BTEC ผู้สอบจะได้รับทราบคะแนนเป็นตัวอักษร ได้แก่

  • P หมายถึง Pass
  • M คือ Merit
  • D หมายถึง Distinction
  • D* คือ Distinction*
  • U หมายถึง Unclassified

หลักสูตร GCE A Level

GCE A Level ย่อมาจาก General Certificate of Education (GCE) Advanced Level หลักสูตร A-Level เป็นหลักสูตรที่ใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี หลังจากผู้เรียนเรียนจบหลักสูตร GCSE แล้ว A-Level มีวิชาให้เลือกเรียนหลายวิชา ส่วนใหญ่นักเรียนในระดับ A-Level จะลงเรียนเพียง 2-4 วิชา ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเท่านั้น เช่น เลือกเรียน 3 วิชาในปีที่ 1 และอีก 3 วิชาในปีที่ 2 แล้วสอบจบ

ผลการสอบ A-Level มี 5 ระดับ คือ  A*, A, B, C, D และ E มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะพิจารณารับนักเรียนที่มีผลการสอบในระดับ C ขึ้นไป บางแห่งอาจรับเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนระดับ A และ B คุณสมบัติขั้นต่ำของนักเรียน ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากผลการสอบทั้ง 2 ระดับ คือใช้คะแนน GCSE ที่เรียนจบก่อนหน้า A-Level ร่วมกับคะแนนสอบ A-Level มหาวิทยาลัยชั้นนำมีทีเกณฑ์การรับเข้าเรียนยากของอังกฤษเช่น Oxbridge, London School of Economics (LSE) หรือ Imperial College จะใช้ผล A-Level ในการพิจารณาคัดเลือกเท่านั้น (ไม่รับผลสอบจากหลักสูตร Foundation) เช่นเดียวกับปริญญาตรีบางคณะซึ่งไม่สามารถเรียนผ่านระบบ Foundation ได้เช่น แพทยศาสตร์ เภสัชศาตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ เป็นต้น

คลิกอ่านเพิ่มเติมที่ หลักสูตรมัธยมศึกษาแบบอังกฤษ

อนึ่ง บางท่านอ่านแล้วอาจไม่เข้าใจว่า หลักสูตร Foundation คืออะไร หลักสูตร Foundation Year เป็นหลักสูตรที่ออกแบบให้นักเรียนต่างชาติ ที่ไม่ได้เรียนจบในหลักสูตรนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับของสหราชอาณาจักร เช่น A-Level หรือ IB Diploma หรือเป็นนักเรียนต่างชาติที่จบ A-Level มาแต่ได้คะแนนไม่สวย และมีความต้องการสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่เข้าค่อนข้างยาก

หลักสูตร International Baccalaureate Diploma หรือ IB

IB ย่อมาจาก International Baccalaureate หลักสูตร IB Diploma เป็นหลักสูตร 2 ปี สำหรับนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 16-18 ปี ผลสอบ IB Diploma จะใช้ในการยื่นสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศต่างได้ หลักสูตร IB เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1968 ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หลักสูตร IB Diploma เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ทั้งในด้านวิชาการและเป็นคนที่รอบรู้ในด้านอื่นๆประกอบด้วย เช่น รู้วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รู้จักการทำงานเป็นทีม เป็นต้น https://www.youtube.com/watch?v=xA6as6cxf4M

หลักสูตร IB ทั้งหมดจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ

  1. หลักสูตรระดับต้น ( Primary Years Programme หรือ PYP) สำหรับนักเรียนอายุระหว่าง 3 ถึง 12 ปี
  2. หลักสูตรระดับกลาง (Middle Years Programme หรือ MYP) สำหรับนักเรียนอายุระหว่าง 11 ถึง 16 ปี
  3. หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรนานาชาติ (IB Diploma Programme หรือ IBDP) สำหรับนักเรียนอายุระหว่าง 16 ถึง 19 ปี https://www.youtube.com/watch?v=igOl2nG5HzQ

https://youtu.be/igOl2nG5HzQ

คลิกอ่านเพิ่มเติม เนื้อหาหลักสูตร International Baccalaureate Diploma

ผลสอบ IB Diploma อยู่ที่ผู้เรียนจะต้องสอบผ่าน 6 วิชา โดยจะต้องเป็น

  • 1 วิชาจากวิชาในกลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 5
  • 1 วิชาจากกลุ่มที่ 2
  • 1 วิชาจากกลุ่มที่ 3
  • 1 วิชาจากกลุ่มที่ 4
  • 1 วิชาจากกลุ่มที่ 5
  • 1 วิชาจากกลุ่มที่ 6
  • มีอย่างน้อยสามวิชาที่ต้องสอบแบบ Higher Level (HL)ที่ใช้เวลาเรียนนานประมาณ 240 ชั่วโมง
  • อีก 3 วิชาเป็น Standard Level (SL) ที่ใช้ระยะเวลาเรียนนนานประมาณ 150 ชั่วโมง
  • การประเมินผลมีคะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 7 ในแต่ละวิชา บวกกับคะแนนพิเศษ 3 คะแนนจาก Extended Essay, และ Theory of Knowledge รวมกันเป็น 45 คะแนน
  • การที่นักเรียนจะสอบผ่าน IB Diploma Programme ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 24 คะแนน
  • นักเรียนที่ไม่ผ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว จะไม่ได้รับ IB Diploma แต่จะได้เพียง IB Certificate

การจัดสอบ IB Diploma จะมีขึ้นปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ส่วนครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน หากสอบไม่ผ่านจะสามารถสอบได้ใหม่อีกไม่เกิน 3 ครั้ง นักเรียนที่มีสิทธิสอบ IB Diploma คือนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบ IB เท่านั้น

เมื่อทราบแล้วว่า แต่ละหลักสูตรมีเนื้อหาและวิธีการคิดคะแนนอย่างไร ในการยื่นสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ไม่ว่าผู้สอบจะใช้ผลคะแนนจาก BTEC, GCE A-LEVEL หรือ  IB Diploma เว็บไซต์ UCAS ได้แสดงวิธีการคำนวณคะแนนจากหลักสูตรที่นักเรียนเลือกเรียนว่า เทียบเท่ากับกี่คะแนนในการที่จะเลือกส่งสมัครไปยังมหาวิทยาลัยชื่ออะไร https://www.ucas.com/sites/default/files/New%20Tariff%20toolkit%20HEPs.pptx  หรือ https://www.ucas.com/advisers/guides-and-resources/information-new-ucas-tariff-advisers คลิก ดาวน์โหลด UCAS Tariff

ฺBTEC

GCE A-Level

IB Diploma

ตัวอย่าง  เมื่อนักเรียนเข้าไปที่เว็บไซต์ UCAS  ได้แล้ว ให้ลองศึกษาดูว่า มหาวิทยาลัยต่างๆต้องการใช้ผลคะแนนสอบของแต่ละหลักสูตรอย่างไร เพื่อจะได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักเรียน ที่มีจุดแข็งจุดอ่อนในเรื่องควรจะเลือกเรียนหลักสูตรแบบใดดี ได้เกิดความสบายใจว่า มหาวิทยาลัยต่างๆสามารถที่จะรับคะแนนสอบจากหลากหลายหลักสูตร ทั้ง BTEC, GCE A-Level, IB Diploma และอื่นๆได้  https://www.ucas.com/ucas/subject-guide-list โดยลองคลิกเลือกสาขาวิชาที่ต้องการเรียนและมหาวิทยาลัยที่ค้องการสมัคร ในที่นี้ได้เลือก ปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้าของมหาวิทยาลัย Aberdeen : https://digital.ucas.com/courses/details?coursePrimaryId=3dbf10aa-d365-c5f8-95d2-7157c2f5719e&academicYearId=2019

Copyright © 2010-2018 GoVisaEdu All rights reserved.