การทำใบขับขี่ในสหรัฐอเมริกา นักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา หากไม่ได้เลือกมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีการคมนาคมหลากหลายประเภท การมีรถยนต์ส่วนตัวนับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละสถานที่มักอยู่ห่างไกลกัน การใช้รถประจำทางไม่สะดวกสบายเหมือนอย่างที่นักศึกษาตั้งความคาดหวังไว้ก่อนหน้าเดินทาง บางเมืองใช้เวลารอรถประจำทางสายเดียวกันครั้งละครึ่งชั่วโมง บางเมือง 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงก็มี ผู้ที่มีธุระเร่งร้อนอาจเดินทางไปถึงสถานที่นั้นๆไม่ทันตามเวลานัดหมาย เมื่อต้องการมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้เองก็จำเป็นต้องสอบใบขับขี่ในสหรัฐอเมริกา จะใช้ใบขับขี่สากลตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกาไม่ได้
การสอบใบขับขี่ในสหรัฐอเมริกาจะประกอบด้วยการสอบข้อเขียน (Written test) และสอบภาคปฏิบัติ (Drive Test) เหมือนประเทศอื่นๆ ในการสอบข้อเขียน บางรัฐกำหนดไว้ว่า ให้ทำผิดในการสอบข้อเขียนได้ไม่เกิน 3 ข้อ และสอบข้อเขียนได้ไม่เกิน 3 ครั้งติดต่อกัน กรณีสอบข้อเขียนครั้งแรกไม่ผ่าน เมื่อสอบข้อเขียนผ่านจะได้รับ Instruction Permit หรือ Temps บางแห่งเรียก Learner’s Permit ซึ่งจะใช้ขับรถได้ก็ต่อเมื่อมีคนที่ได้รับใบขับขี่โดยสมบูรณ์หรือ Driver License นั่งไปด้วยข้างๆ หรือ บางแห่งกำหนดว่า ต้องมีคนที่ขับรถได้และมีใบขับขี่อายุ 25 ปีขึ้นไปนั่งไปด้วยข้างๆ ห้ามคนที่นั่งไปด้วยข้างๆเป็นคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี เพราะผิดกฎหมาย เมื่อผู้ที่มี Instruction Permit สอบภาคปฏิบัติผ่านจึงจะได้รับ Temporary Driver License ก่อน แต่บางรัฐอาจจะได้รับ Driver License เลย เช่นเดียวกับการสอบข้อเขียน บางรัฐกำหนดให้สอบแก้ตัวภาคปฏิบัติที่สอบครั้งแรกไม่ผ่าน โดยให้สอบครั้งที่ 2 ได้ หากการสอบภาคปฏิบัติไม่ผ่านทั้ง 2 ครั้ง ต้องสอบข้อเขียนใหม่ เป็นต้น
ขอแนะนำ Power Point ที่ใช้คำอธิบายไม่ยาก พร้อมทั้งมีภาพประกอบและมีการสอนเป็นขั้นตอนชัดเจน ทำให้นักศึกษาที่เพิ่งผ่านมัธยมศึกษาตอนปลายและกำลังเข้าศึกษาระดับ Associate Degreeที่ Santa Monica College เข้าใจได้ง่ายๆ
นักศึกษาผู้ถือวีซ่า F,M, หรือ J ที่จะสมัครสอบใบขับขี่สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.educationusa.info/files/203841a1-cc13-440c-d90d-6945f111f384/Applying%20for%20a%20Drivers%20License%20or%20State%20ID%20card.pdf
ซึ่งกล่าวไว้พอสรุปได้ดังนี้ คือ
1. ในตอนกรอกแบบฟอร์มขอสอบข้อเขียน นักศึกษาจะต้องมีระยะเวลาที่ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ หรือ หมายเลข Sevis I-901 ของนักศึกษายังมีอายุการใช้งานได้อยู่ ในบางรัฐระบุว่า นักศึกษาต้องเหลือระยะเวลาที่ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่อีกอย่างน้อย 6 เดือน
2. นักศึกษาต้องติดต่อหน่วยงานของสถานศึกษาที่ตอบรับนักศึกษาเข้าเรียน Designated School Officials (DSOs) หรือ ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง (Responsible Officers-ROs)เพื่อขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือในการติดต่อกับ Department of Motor Vehicles (DMV) ในรัฐนั้นๆ
3. นักศึกษาต้องรอให้เดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้วเป็นเวลา 10 วันจึงจะขอสอบใบขับขี่ได้ และจะต้องมั่นใจว่า รายละเอียดชื่อ นามสกุลใน Sevis Number, สถานภาพนักศึกษา , วันเดือนปีเกิด ของนักศึกษาถูกต้องตรงกันกับเอกสารอื่นๆ อาทิ
- หนังสือเดินทาง
- ฟอร์ม I-94
- I-20
- I-766 ” Employent Authorization Document”(EAD ถ้ามี)
- I-797 ” Notice of Action (ถ้ามี)”
- Social Security Number(กรณีไม่มี SSN ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของ SSA ( Social Security Administration หรือ Department of Transportation Office) เพื่อขอจดหมายรับรองประเภท Certification of Non-Eligibility of SSN จาก SSA
- DMV บางรัฐ ขอดูใบเสร็จค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าโทรศัพท์ที่มีชื่อนักศึกษาอยู่บนใบเสร็จ, สัญญาเช่าที่พักที่มีชื่อนักศึกษาอยู่, จดหมายรับรองฐานะการเงินจากธนาคารที่ส่งไปยังที่พักของนักศึกษา เป็นต้น
4. หากรายละเอียดเรื่องชื่อ นามสกุลไม่ตรงกัน ให้ศึกษาเพิ่มเติมวิธีการแก้ไขปัญหาจากเว็บไซต์ข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว หรือ ปรึกษาเจ้าหน้าที่ดูแลนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ( International Student Officer)
5. นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นที่ DMV หรือ DPS ที่ใกล้ที่สุด เพื่อขอสอบข้อเขียน Instruction Permit กรอกแบบฟอร์ม กับเจ้าหน้าที่ จ่ายเงินค่าสอบ หลังจากนั้น ทดสอบสายตาโดยให้มองผ่านกล้อง binocular ว่า สามารถเห็นแสง หรืออ่านตัวอักษรบางตัวอักษรได้ไหม อาจกล่าวได้ว่า เป็นการทดสอบว่าสายตาสั้นใส่แว่นไหม ถ้าต้องใส่แว่น จะมีคำว่า Restrictions หรือ Corrective lenses บนใบขับขี่ด้วย
6. การสอบข้อเขียนอาจจะเป็นการให้ทำข้อสอบบนกระดาษ หรือในคอมพิวเตอร์ขึ้นอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือที่แต่ละรัฐจะมีจัดไว้ให้
7. ถ้าสอบข้อเขียนผ่าน นักศึกษาจะได้ Instruction Permit หรือ Learners Permit ที่จัดส่งไปให้ที่บ้านภายใน 14 วันหลังสอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ ถ้าสอบไม่ผ่าน สอบใหม่ได้ในวันเดียวกัน ให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่ ถ้ายังทำไม่ได้อีก สามารถสอบใหม่ได้ในวันรุ่งขึ้น หรือสัปดาห์ถัดไป
8. ในปัจจุบันเว็บไซต์ของ DMV หลายๆแห่งจะมีการให้ download กฎจราจร หรือ ตัวอย่างข้อสอบพร้อมเฉลยไว้ให้ศึกษา ตัวอย่าง DMVที่รับ California http://dmv.ca.gov/pubs/interactive/tdrive/exam.htm DMV ของบางเมือง เช่น Los Angeles จะมีข้อสอบที่แปลเป็นภาษาไทยด้วย สำหรับจำนวนข้อสอบมีแตกต่างกันไป บางรัฐมี 25 ข้อ บางรัฐมี 36 ข้อ เป็นต้น
หมายเหตุ ในบางรัฐการสมัครสอบข้อเขียนอนุญาตให้ทำการนัดสอบออนไลน์ไปที่ DMV ได้ เพราะมีผู้มาสมัครสอบหนาแน่นและมีเจ้าหน้าที่จำนวนน้อย เช่น การสอบใบขับขี่ในรัฐ California ค่าสมัครสอบข้อเขียนในรัฐ California ประมาณ 31 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคา ณ เดือนมิถุนายน 2555) ผู้สอบจะทราบผลในวันเดียวกับที่สอบว่า สอบผ่านหรือสอบไม่ผ่าน
ตัวอย่างเว็บไซต์ DMV ที่เมือง Los Angeles http://www.dmv.ca.gov/dl/dl_info.htm#2500 อนึ่ง รัฐต่างๆจะไม่อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติสอบใบขับขี่ได้ กรณีนักศึกษาต่างชาติเหลือระยะเวลาอีกเล็กน้อยที่จะเดินทางกลับประเทศของตนเองหลังจบการศึกษา เช่น เว็บไซต์ของ Duke University http://www.studentaffairs.duke.edu/ihouse/nc-drivers-license-and-lessons
เมื่อสอบข้อเขียนผ่านไปได้ บางเมืองมีกฎว่า ต้องเพักไว้นาน 30 วันจึงจะสมัครสอบ Drive Test หรือบางแห่งใช้คำว่า Road Test ได้เช่นเดียวกัน เว็บไซต์มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามักจะมีคำชี้แจงเรื่องการสอบทั้งข้อเขียนและปฏิบัติ เช่นเว็บไซต์ University of Michigan http://internationalcenter.umich.edu/life/license.html จากเว็บดังกล่าวมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า หากนักศึกษาเคยมีใบขับขี่แล้วในประเทศของตนเอง ให้แปลใบขับขี่นั้นเป็นภาษาอังกฤษ รายละเอียดการแปลศึกษาเพิ่มเติมที่ http://www.michigan.gov/documents/Translators_Resource_List_95124_7.pdf ผู้มีใบแปลใบขับขี่จากในประเทศของตน ก็จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องรอให้ครบ 30 วันจึงจะสอบภาคปฏิบัติได้ ดังนั้น นักศึกษาควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ International Student Officer เป็นกรณีๆไป เพราะกฎเกณฑ์แต่ละรัฐแตกต่างกันออกไปบ้างเล็กน้อย เมื่อนักศึกษาจะสอบ Drive Test ให้นักศึกษาเตรียมตัวดังนี้ คือ
1. download คู่มือการสอบ Drive test จาก DMV หรือจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย (ถ้ามี) เช่น ของ University of Michigan ระบุว่า การสอบ Drive test หรือ Road Test ใช้เวลา 45 นาที ถึง 1ชั่วโมง 15 นาที บางรัฐอาจใช้เวลาน้อยกว่านี้ เช่น ใช้เวลา 20 นาที http://www.michigan.gov/documents/ROAD_SKILLS_TEST_STUDY_GUIDE_05-02_21935_7.pdf
เว็บไซต์นี้จะมีแบบฝึกหัดและข้อสอบที่ผู้สอบควรทราบว่า การสอบจะเน้นให้ผู้สอบเรียนรู้การขับประเภทใดบ้าง เพื่อให้สอบผ่านภาคปฏิบัติ นักศึกษาสามารถนำไปลองศึกษาดูเป็นกรณีศึกษาได้ หรือจะค้นหาจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยที่ตนเองกำลังศึกษาอยู่ก็ได้
2. ฝึกซ้อมการหัดขับรถประมาณ 2-3 สัปดาห์ จนมั่นใจว่า มีความพร้อมที่จะไปสอบ เช่น หัดขับในลักษณะต่างๆ อาทิ ขับเข้าที่จอดรถ ขับขึ้นเขา ลงเขา จอดรถ การเปลี่ยนเลน การจำกัดความเร็วในการขับรถ การหยุด ณ ป้าย Stop sign ฯลฯ นักศึกษาอาจเป็นคนจัดตารางสอบล่วงหน้า หรือ walk-in เข้าไปที่ DMV เพื่อสอบในตอนเช้าเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎระเบียบแต่ละรัฐ ไม่เหมือนกัน
3. เมื่อสอบขับผ่านแล้ว จะได้รับใบขับขี่เลย หรือบางรัฐใช้วิธีการจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ ถ้าสอบไม่ผ่าน สามารถเตรียมตัวสอบใหม่ได้อีกภายในหนึ่งสัปดาห์ เมื่อนักศึกษาได้รับใบขับขี่แล้ว นักศึกษาสามารถใช้ใบขับขี่เป็นเหมือนบัตรแสดงตน( Identification Card )ได้อีกด้วย
แนะนำเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัย คือ
- http://redbus2us.com/process-to-get-driving-license-in-usa-f1-visa-h1b-l1-visa-requirements/
- http://redbus2us.com/how-to-prepare-for-driving-written-test-or-instruction-permit-temps-in-usa/
- http://redbus2us.com/how-to-do-driving-practice-and-get-driving-license-in-america-is-indian-driving-license-valid-in-usa/
Copyright © 2010-2011 GoVisa All rights reserved.