นักศึกษาที่สนใจไปศึกษาต่อวิชากฎหมายในสหรัฐอเมริกาหลายท่านที่ยังไม่รู้จัก ความหมายของคำว่า LSAC บางท่านมีคำถามว่า ถ้าจะไปเรียนต่อปริญญาโทต้องสอบ LSAT ไหม จำเป็นต้องส่งใบสมัครผ่าน LSAC ไหม ฯลฯ เรามาทำความรู้จักกับคำว่า LSAC กันว่า LSAC คืออะไร LSAC ย่อมาจากคำว่า The Law School Admission Council ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2490 (ค.ศ.1947) LSAC เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหน่วยงานที่จัดทำแบบทดสอบ LSAT สำหรับผู้ที่จะเข้าเรียนต่อ JD ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ละปีจะมีผู้เข้าสอบ LSAT ประมาณ 150,000 คนจากศูนย์สอบทั่วโลก LSAT จะมีสอบปีละ 4 ครั้ง คือ ในเดือน กุมภาพันธ์ มิถุนายน ตุลาคม และธันวาคม (http://www.lsat.org/JD/LSAT/test-dates-deadlines.asp)
JD คือปริญญาทางกฎหมายใบแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่จบมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเกรด 12 ยังไม่สามารถสมัครเข้าศึกษาต่อปริญญาตรีทางกฎหมายได้เลยทันที การรับสมัครเข้าเรียนต่อ JD ผู้สมัครจะต้องอยู่ในสถานะใดสถานะหนึ่งมาก่อน ดังนี้
1. นักศึกษาที่ต้องการสมัครเรียน JD จะต้องเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาอื่นๆมาก่อน อาทิ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ปรัชญา เศรษฐศาสตร์ อาชญาวิทยา หรือวิชาบริหารธุรกิจ มีบ้างบางท่านที่ศึกษาจบมาทางสายวิทยาศาสตร์ อาทิ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี วิทยาการจัดการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ พยาบาล หรือ นักศึกษาบางท่านมีพื้นฐานจบวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปะ เช่น ดนตรี
2. นักศึกษาบางท่านอาจเลือกลงทะเบียนศึกษาหลักสูตร Pre-Law หลักสูตร Pre-Law มีเปิดสอนในบาง Four Year College และบางมหาวิทยาลัยเท่านั้น ผู้ที่เลือกเรียน Pre-Law มิได้หมายความเป็นผู้ที่ผ่านการเรียนกฎหมายเบื้องต้น Pre-Law เป็นหลักสูตรที่เตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมทางการอ่านและการฟัง การวิเคราะห์และสังเคราะห์ การเขียน การเจรจาและการประนีประนอม เมื่อผู้เรียน Pre-Law จบ ผ่านการสอบ LSAT สามารถยื่นผลการเรียนและผลสอบ LSAT เพื่อสมัครเข้าเรียนต่อ JD ได้ เมื่อเรียนจบหลักสูตร ถือว่าผู้เรียนได้รับปริญญาใบแรกทางกฎหมายที่เรียกว่า JD หรือ Juris Doctor เป็นปริญญาทางวิชาชีพกฎหมายที่ต้องใช้เวลาศึกษาประมาณ 3 ปี เมื่อรวมกับหลักสูตร Pre-Law อีกประมาณ 3 ปี เท่ากับระยะเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการศึกษาคือ 6 ปี JD ไม่ใช่ปริญญาทางการทำวิจัย ผู้เรียนส่วนใหญ่มักเป็นพลเมืองอเมริกันมากกว่าชาวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม นักศึกษาต่างชาติสามารถสมัครเรียน JD ได้ โดยปฏิบัติตนตามเกณฑ์การสมัครที่กล่าวมาแล้ว
3. นักศึกษาอเมริกันบางท่านอาจเลือกที่จะลงทะเบียนเรียนอนุปริญญา (A.A) ทางด้านรัฐศาสตร์ และโอนย้ายหน่วยกิตไปศึกษาต่อวิชาอื่น อาทิ อาชญาวิทยา ในมหาวิทยาลัยอีก 2 ปี เพื่อให้จบการศึกษาได้รับปริญญาตรี ดังนั้นผู้เรียนจะมีพื้นฐานความรู้ 2 สาขาวิชาอันจะเอื้อต่อการศึกษาด้านกฎหมายในอนาคต เมื่อนักศึกษาทราบผลสอบ LSAT ให้นำ Transcript และผลสอบ LSAT ไปสมัครเรียนต่อปริญญาทางกฎหมายใบแรก หรือ JD นั่นเอง
ส่วน SJD หรือ Doctor of Law หรือ Doctor of Juridical Science คือปริญญาเอกทางกฎหมายที่เน้นการทำวิจัย ดังนั้น SJD จึงมีความแตกต่างจาก JD ส่วนความแตกต่างระหว่าง JD กับ LLM LSAC ได้ให้คำอธิบายไว้ที่หน้าเว็บไซต์
http://www.lsac.org/llm/Degree/jd-llm-difference.asp ดังนี้
ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้คือ
JD |
LLM |
1. นักศึกษาต้องจบปริญญาตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อนที่จะสมัครเรียนต่อ JD | 1. นักศึกษาต้องมีพื้นฐานจบปริญญาทางกฎหมายใบแรกหรือจบ LLB คุณวุฒิปริญญาตรีจากต่างประเทศมาก่อน |
2. ต้องแสดงผลสอบ LSAT | 2. ไม่ต้องสอบ LSAT |
3. หลักสูตร JD ใช้ระยะเวลาในการศึกษาทั่วไปนาน 3 ปี | 3. หากผู้สมัครเป็นนักศึกษาต่างชาติ ต้องแสดงผลสอบภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS |
4. หลักสูตร JD ที่มีเปิดสอนในสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองจาก ABA หรือ American Bar Association เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์สมัครสอบเนติบัณฑิตหรือ Barrister at Law ได้ | 4. หลักสูตร LLM ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการศึกษานานประมาณ 1 ปี |
5. ผู้ที่ศึกษาจบ LLM หรือเป็นทนายความต่างชาติ ไม่มีสิทธ์สอบ American Bar ของทุกรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา(ศึกษาเพิ่มเติมที่ http://www.americanbar.org/groups/legal_education/resources.html ) |
LSAC ได้เข้ามามีบทบาทในการสมัครเข้าเรียนต่อกฎหมายทั้งในระดับ JD และะ LLM โดย LSAC จะทำหน้าที่เหมือนองค์กรกลางในการรับเอกสาร 3 ประเภท คือ Transcript, Letter of Recommendation และผลสอบ LSAT จากผู้สมัครเพื่อทำการส่งต่อไปยังสถานศึกษาที่ผู้สมัครต้องการ โดยนักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่มักจะมีปริญญาตรีทางกฎหมายจากประเทศของตนมาแล้ว จึงมักทำการส่งสมัครเข้าศึกษาต่อปริญาโททางกฎหมายมากกว่า นักศึกษาจะต้องเริ่มปฏิบัติตนตามรายละเอียดในเว็บไซต์นี้คือ
http://www.lsac.org/llm/Applying/LLM-checklist.asp
1. สร้างบัญชีของนักศึกษา หลังจากนั้นนักศึกษาจะได้หมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยตัวอักษร L
2. นักศึกษาทำการค้นคว้าหาชื่อและหลักสูตรมหาวิทยาลัยที่สนใจเพื่อจะทำการสมัคร
3. นักศึกษาที่จะสมัครเข้าเรียนต่อ LLM ต้องลงทะเบียนและจ่ายเงินค่า LLM Credential Assembly Service (LLM CAS) ก่อน ข้อควรระวังต้องดำเนินการก่อนล่วงหน้าปิดรับสมัคร 2-3 เดือน
4. ลงทะเบียนสอบภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS
5. เตรียมส่ง Transcript Request form ซึ่ง print จาก LSAC .org Account พร้อม transcript ตัวจริงที่เป็นภาษาของตนเองและฉบับภาษาอังกฤษไปยัง LSAC ตามที่อยู่ดังนี้ กรณีสมัคร JD ที่อยู่ Law School Admissions Council, 662 Penn Street, PO BOX 8502, Newtown, PA 18940-8502, USA กรณีสมัครปริญญาโท LLM ส่งไปที่ LSAC LLM Credential Assembly Service, 662 Penn Street, PO BOX 8511, Newtown, PA 18940-8511, USA
หมายเหตุ กรณีส่งไปรษณีย์ด่วนข้ามคืน เช่น EMS, DHL ฯลฯ ให้ตัดคำว่า ” PO BOX 8511 ” ทิ้งไปเสีย
6. ติดต่อผู้เขียนจดหมาย Recommendation เพื่อส่งจดหมาย Recommendation ให้ LSAC ตามขั้นตอนที่ LSAC เป็นผู้กำหนด
7. ผู้สมัครศึกษาต่อ JD ต้องส่งสมัคร LSAT ผ่านเว็บไซต์ LSAC และส่งคะแนนสอบ LSAT ไปยัง LSAC ด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกรณีสมัคร JD ที่ http://www.lsat.org/JD/apply/lsat-cas-checklist.asp และกรณีสมัคร LLM ที่ http://www.lsat.org/llm/Applying/LLM-checklist.asp
Copyright © 2010-2012 GoVisa All rights reserved